ประวัติพระราม

Sunday, January 6, 2013

             ประวัติพระราม

พระราม คือ พระนารายณ์อวตาร (แบ่งภาค) ลงมา ถือกำเนิดเป็นพระราชโอรสของ
ท้าวทศรถ กับ นางเกาสุริยา เพื่อจะปราบทศกัณฐ์ พระรามมีพระอนุชาต่างพระ
มารดา ๓ พระองค์ คือ พระพรต พระลักษมณ์ และพระสัตรุต ซึ่งต่างก็มีความ
รักใคร่กันอย่างมาก พระมเหสีของพระราม คือ นางสีดา พระรามมีกายสีเขียว
สามารถปรากฏร่างเป็นพระนารายณ์มีสี่กรได้ อาวุธประจำพระองค์ คือ ศร
ซึ่งเป็นอาวุธวิเศษ ที่ได้ประทานมาจากพระอิศวร
บทบาทที่สำคัญในเรื่องรามเกียรติ์ ได้แก่
- เมื่อเยาว์วัยพระรามได้รับการศึกษาศิลปศาสตร์ กับสำนักฤาษีสวามิตร
หรือวิศวามิตร มีความเก่งกล้า ถึงกับฆ่ากากนาสูร และสวาหุ ซึ่งมารบกวนเหล่า ฤาษีชีไพร
- ท้าวชนกจักรวรรดิ์(ฤาษีชนก) ได้ให้หมู่กษัตริย์มาประลองยกศรรัตนธนู เพื่ออภิเษกกับนางสีดา
พระรามก็สามารถยกรัตนธนูได้สำเร็จ และได้อภิเษกกับนางสีดา
ระหว่างเดินทางกลับกรุงอโยธยา สามารถปราบรามสูร(ยักษ์ผู้ถือขวาน)
และได้รับศรจากรามสูร

- ได้ฆ่าพระยาขร และพระยาทูษณ์ พี่ชายของนางสำมนักขา
- ระหว่างออกเดินป่า ได้ปราบพิราบยักษ์
- ได้ช่วยสุครีพปราบพาลี
- ไปรบกับทศกัณฐ์ และได้ฆ่าทศกัณฐ์ได้สำเร็จ
- สถาปนาพิเภกให้ครองกรุงลงกา

ประวัติสีดา

             ประวัติสีดา

นางสีดา คือ พระลักษมี มเหสีอของพระนารายณ์ อวตาร
ลงมาเกิด เพื่อเป็นคู่ครองของพระราม ตามบัญชาของ
พระอิศวร นางสีดา เป็นพระธิดาของทศกัณฐ์ กับนาง
มณโฑ แต่เมื่อประสูติแล้ว พิเภกได้ทำนายว่า นางเป็น
กาลกิณีแก่พระบิดาและบ้านเมือง ทศกัณฐ์จึงสั่งให้นำนาง
ใส่ผอบลอยน้ำไป พระฤาษีชนกพบเข้า จึงเก็บไปเลี้ยง
เป็นลูก โดยฝังดินฝากแม่พระธรณีไว้ เวลาผ่านไปถึง ๑๖ ปี
พระฤาษีชนกเบื่อหน่ายการบำเพ็ญพรต คิดกลับไปครอง
กรุงมิถิลาเช่นเดิม จึงลาเพศพรหมจรรย์ไปขุดนางขึ้นมา
แล้วตั้งชื่อให้ว่า สีดา (แปลว่ารอยไถ) จากนั้นพานางพา
นางเข้าเมืองมิถิลา จัดพิธียกศรคู่บ้าน คู่เมืองเพื่อ
เสี่ยงทายหาคู่ครองให้นางสีดา พระรามยกศรได้ จึงได้
อภิเษกสมรสกับนางสีดา

ประวัติพระลักษณ์

             ประวัติพระลักษณ์

พระลักษมณ์ คือ พญาอนันตนาคราช
ที่ประทับของพระนารายณ์มาเกิด
มีกายสีทอง เป็นพระโอรสของท้าวทศรถ
กับนางสมุทรเทวี มีพระอนุชาร่วมพระมารดา
คือ พระสัตรุต พระลักษมณ์มีความจงรักภักดี
ต่อพระรามมาก เมื่อพระรามต้องออกเดินป่า
ถึง ๑๔ ปี พระลักษมณ์ก็ได้ติดตามไปด้วย
และยังช่วยออกรบกับกองทัพของกรุงลงกา
อย่างกล้าหาญ

ประวัติองคต

             ประวัติองคต

องคต เป็นลิงมีกายสีเขียว เป็นบุตรของพาลี กับนางมณโฑ
เมื่อพาลีแย่งนางมณโฑมาจากทศกัณฐ์แล้ว นางต้องเป็น
ภรรยาของพาลีจนกระทั่งตั้งครรภ์ ทศกัณฐ์ไปฟ้องฤาษี
อังคัตอาจารย์ของพาลี จนพาลียอมคืนนางมณโฑให้แต่
ขอลูกไว้ ฤาษีอังคัตจึงทำพิธีเอาลูกออกจากท้องนางมณโฑ
ไปใส่ในท้องแพะ เมื่อครบกำหนดคลอด พระฤาษีก็ทำพิธี
ีให้ออกจากท้องแพะ ให้ชื่อว่า องคต ส่วนทศกัณฐ์ยังผูกใจเจ็บ
จึงแปลงกายเป็นปูยักษ์คอยอยู่ก้นแม่น้ำ เพื่อจะฆ่าองคต
ขณะทำพิธีลงสรง แต่ถูกพาลีจับได้ แล้วเอามาผูกไว้ให้ลูก
ลากเล่นอยู่เจ็ดวันจึงปล่อยไป เมื่อสุครีพขอให้พระราม
มาช่วยปราบพาลี ก่อนที่พาลีจะสิ้นใจตาย ได้สำนึกตนว่า
ทำผิดต่อสุครีพ ทั้งไม่รักษาคำสัตย์สาบาน จึงได้ทูลฝากฝัง
สุครีพและองคตไว้กับพระราม องคตได้ช่วยทำศึกกับ
กองทัพของทศกัณฐ์อย่างเต็มความสามารถ พระราม
เคยส่งองคตเป็นทูตไปเจรจากับทศกัณฐ์ เพื่อทวงนางสีดาคืน
แม้จะไม่สำเร็จ แต่ก็ได้แสดงความเฉลียวฉลาด และความ
กล้าหาญ ให้ประจักษ์แก่ตาของทศกัณฐ์

ประวัติสุครีพ

             ประวัติสุครีพ

สุครีพ เป็นลิงมีกายสีแดง เป็นลูกของพระอาทิตย์กับ
นางกาลอัจนา สุครีพมีศักดิ์เป็นน้าของหนุมาน
เมื่อพระฤาษีโคดมรู้ความจริงจากนางสวาหะว่า
สุครีพไม่ใช่ลูกของตน แต่เป็นลูกชู้ จึงสาปให้กลาย
เป็นลิงพร้อมกับพาลีผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งเป็นลูกของพระอินทร์
แล้วไล่ให้เข้าป่าไป ต่อมาสุครีพได้เป็นทหารเอกของ
พระราม ได้รับความไว้วางพระทัยจากพระราม ให้เป็น
ผู้คุมกองทัพ ออกสู้รบกับกองทัพของกรุงลงกาอยู่เสมอ

ประวัติหนุมาน

             ประวัติหนุมาน

หนุมาน เป็นลิงเผือก (กายสีขาว) มีลักษณะพิเศษ คือ
มีเขี้ยวแก้วอยู่กลางเพดานปาก มีกุณฑลขนเพชร
สามารถแผลงฤทธิ์ให้มีสี่หน้าแปดมือ แลหาวเป็นดาว
เป็นเดือนได้ ใช้ตรีเพชร (สามง่าม) เป็นอาวุธประจำตัว
(จะใช้เมื่อรบกับยักษ์ตัวสำคัญๆ) มีความเก่งกล้ามาก
สามารถแปลงกาย หายตัวได้ ทั้งยังอยู่ยงคงกระพัน
แม้ถูกอาวุธของศัตรูจนตาย เมื่อมีลมพัดมาก็จะฟื้นขึ้น
ได้อีก เมื่อนางสวาหะถูกมารดาสาปให้ไปยืนตีนเดียว
เหนี่ยวกินลม พระอิศวรจึงบัญชา ให้พระพายนำ
เทพอาวุธของพระองค์ไปซัดเข้าปากของนาง
นางจึงตั้งครรภ์และคลอดบุตรเป็นลิงเผือก
เหาะออกมาจากปาก ได้ชื่อว่าหนุมาน หนุมาน
จึงถือว่าพระพายเป็นพ่อของตน หนุมานได้ถวายตัว
เป็นทหารเอกของพระราม ช่วยทำการรบจนสิ้นสงคราม

นางมณโฑ สาวงามสี่ผัว แต่ไม่มั่วรัก

      เมื่อเอ่ยถึง “ นางมณโฑ ” ในเรื่อง “ รามเกียรติ์ ” เชื่อว่าหลายคนคงจะรู้สึกคุ้นหูกับชื่อนี้ไม่น้อยไปกว่านามของนางสีดา นางเบญกาย หรือนางสุพรรณมัจฉา แต่ประวัตินางมณโฑเป็นมาอย่างไร คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้ ทั้งๆที่เรื่องราวของนาง ก็น่าสนใจไม่น้อย ข้อสำคัญ แม้เธอจะมิใช่สาวแรงสูงผู้ไขว่คว้าหาความรัก แต่เชื่อไหมว่าในเรื่องเธอต้องมี “ สามี ” ถึงสี่คน และมิใช่ “ กิ๊ก ” อย่างที่สาวๆสมัยนี้นิยมกัน นางมณโฑเป็นใคร มาจากไหน กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อความรู้และความเพลิดเพลิน ดังนี้



เล่ากันว่าที่เชิงเขาหิมพานต์ มีฤาษีสี่ตน บำเพ็ญพรตอยู่เป็นเวลาช้านาน และมีตบะแก่กล้ามาก ทุกๆเช้า จะมีนางโค ๕๐๐ ตัว มาที่อาศรมของฤาษี และต่างก็จะหยดนมของตัวลงในอ่างแก้วเพื่อให้ฤาษีได้ฉันเป็นอาหารเช้า ซึ่งฤาษีก็จะแบ่งนมส่วนหนึ่งให้แก่นางกบตัวเมียตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่บริเวณ นั้นเป็นประจำทุกวันเช่นกัน อยู่มาวันหนึ่งฤาษีทั้งสี่ออกไปป่า พบนางนาคตนหนึ่งกำลังเสพสังวาสกับงูดิน ฤาษีเห็นว่านางนาคเป็นสัตว์ตระกูลสูงกว่า ไม่น่าจะมาสมสู่กับงูดิน จึงได้เอาไม้เท้าเคาะไปที่ขนดหางนางนาคเบาๆ นางนาคกำลังร่านด้วยแรงราคะก็ยังไม่รู้ตัว ฤาษีจึงเคาะซ้ำไปที่กลางลำตัว นางนาคตกใจคลายขนด (ขะ-หฺนด หมายถึงตัวงูที่ขด หรือโคนหางงู) ออกมาเห็นฤาษี ก็รู้สึกอับอายขายหน้า จึงหนีกลับไปเมืองบาดาล กลับไปแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งคิดแค้นใจพระฤาษีที่ทำให้ตนได้รับความอับอาย และคิดว่าหากพระยากาฬนาคพ่อตนรู้เข้า นอกจากตนจะเสื่อมเสียแล้ว ก็อาจมีโทษถึงตาย เมื่อคิดได้ดังนั้น นางนาคจึงกลับไปอาศรมฤาษี แล้วคายพิษลงในอ่างน้ำนมที่ฤาษีทั้งสี่ต้องฉันทุกเช้า ฝ่ายนางกบเห็นเช่นนั้น ก็ตกใจ และด้วยความกตัญญูสำนึกในพระคุณของฤาษีที่เลี้ยงตนมา จึงตัดสินใจตายแทน ด้วยการกระโดดลงไปในอ่างนม และขาดใจตายเพราะพิษนางนาคนั้น
ครั้นฤาษีทั้งสี่กลับมาจะฉันน้ำนม เห็นนางกบนอนตายในนั้น ก็รู้สึกไม่พอใจคิดว่านางกบตะกละ แต่ก็ยังมีใจเมตตาอยู่ จึงชุบชีวิตนางกบขึ้นมาใหม่ แล้วสอบถามดูว่าทำไมประพฤติตัวโลภมากอย่างนี้ ให้กินทุกวันยังไม่พอใจอีกหรือ นางกบก็เล่าความจริงให้ฟังถึงเรื่องนางนาคมาคายพิษไว้ ฤาษีฟังแล้ว เห็นในคุณความดีของนางกบ จึงได้ทำพิธีก่ออัคคีแล้วร่ายมนตร์วิเศษ พร้อมโยนนางกบลงในไฟ ชุบชีวิตขึ้นมาใหม่กลายเป็นสาวที่มีรูปโฉมโนมพรรณงามกว่าหญิงใดในสวรรค์ทั้ง หก ดังพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๑ ที่ว่า
เดชะพระเวทสิทธิศักดิ์ พระวิษณุรักษ์รังสรรค์
เกิดเป็นกัลยาวิลาวัณย์ งามวิจิตรพิศพรรณขวัญตา
งามพักตร์ยิ่งชั้น มหาราช งามวิลาสล้ำนางใน ดึงสา
งามเนตรยิ่งเนตรใน ยามา งามนาสิกล้ำใน ดุษฎี
งามโอษฐ์งามกรรณงามปราง ยิ่งนางใน นิมา ราศี
งามเกศยิ่งเกศกัลยาณี อันมีในชั้น นิรมิต
ทั้งหกห้องฟ้าหาไม่ได้ ด้วยทรงลักษณ์วิไลไพจิตร
ใครเห็นเป็นที่เพ่งพิศ ทั้งไตรภพจบทิศไม่เทียมทัน
จากพระราชนิพนธ์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าหน้าตาของนางมณโฑเลิศล้ำสวยงามเพียงใด และจากที่นางมีกำเนิดมาจากกบ พระฤาษีจึงตั้งชื่อให้ว่า “ นางมณโฑ ” ที่แปลว่า “ กบ ” อันเป็นสถานภาพเดิมของนาง และเนื่องจากพระฤาษีเห็นว่านางเป็นหญิงสาวไม่เหมาะจะอยู่ด้วย เกรงเป็นที่ติฉินนินทาได้ จึงพร้อมใจกันพานางไปถวายพระอิศวร (พระศิวะ) พระอิศวรก็รับนางไว้ และให้ไปอยู่กับพระแม่อุมา พระชายาของพระองค์ นับตั้งแต่ไปอยู่กับพระอุมา นางมณโฑก็ตั้งใจปรนนิบัติรับใช้พระแม่เป็นอย่างดี จนเป็นที่เมตตาและพระแม่อุมาก็ได้บอกพระเวทย์ต่างๆให้
ต่อมาเขาไกรลาสเอียงทรุด เพราะยักษ์วิรุฬหกจากเมืองบาดาลโกรธสารภูตุ๊กแกที่ล้อเลียนตน จึงขว้างสังวาลนาคใส่ และเลยไปถูกเขาไกรลาสจนเอียง พระอิศวรจึงประกาศแก่เหล่าเทวดาทั้งหลายที่มาเฝ้าว่า หากใครยกเขาไกรลาสให้ตั้งตรงได้ จะมีรางวัลให้อย่างงาม ก็ปรากฎว่าไม่มีใครยกได้ พระอิศวรจึงต้องให้เทวดาไปตามทศกัณฐ์มายกให้จึงสำเร็จ ทศกัณฐ์ก็ทูลขอพระแม่อุมาเป็นรางวัล พระอิศวรแม้ไม่พอใจ ที่ทศกัณฐ์เหิมเกริม แต่เนื่องจากออกโอษฐ์ไปแล้ว ก็จำยอมประทานให้ตามขอ เพราะรู้ว่าอย่างไรเสีย ทศกัณฐ์ก็ต้องนำมาคืนแน่นอน ฝ่ายทศกัณฐ์พอได้รับประทานพระอุมา ก็ตรงเข้าไปอุ้มพระแม่อุมา แต่ครั้นถูกองค์พระแม่ ก็รู้สึกร้อนเหมือนถูกไฟไหม้ จึงจำต้องช้อนพระบาทพระอุมาทูนไว้บนหัว เหาะกลับเมืองลงกา เหาะต่อมาไม่นาน ก็รู้สึกร้อนจนทนไม่ได้ จึงต้องวางพระแม่อุมาลง และพาเดินต่อไป ส่วนเหล่าเทวดานางฟ้าเห็นทศกัณฐ์พาพระอุมาไปเช่นนั้นก็ตกใจ จึงพากันไปเฝ้าพระนารายณ์ให้ช่วยแก้ไข พระนารายณ์จึงออกอุบายแปลงเป็นยักษ์แก่ ปลูกต้นไม้เอายอดลงดิน รากชี้ฟ้า ทศกัณฐ์พาพระอุมาเดินผ่านก็สงสัยและแปลกใจ ถามว่าทำไมโง่ปลูกต้นไม้แบบนี้ ยักษ์แปลงก็ว่า ทศกัณฐ์แหละโง่ ไปพาหญิงร้ายที่จะมาทำลายเหล่ายักษ์มาทำไม ไม่รู้จักขอของดีมา ทศกัณฐ์ได้ฟังก็ชักเห็นตาม เพราะตนเองพาพระอุมามาก็ร้อนเข้าใกล้ไม่ได้ จึงถามยักษ์แก่ดู ก็ได้รับคำแนะนำให้ไปขอนางมณโฑ ทศกัณฐ์จึงพาพระอุมาทูนหัวเหาะกลับไปคืนพระอิศวร และขอนางมณโฑมาแทน
ระหว่างพานางมณโฑเหาะกลับเมืองนั้น ถึงคราวเคราะห์ของทศกัณฐ์ที่เหาะผ่านเมืองขีดขินของพาลีพญาลิงที่กำลังว่า ราชการอยู่ ทำให้พาลีไม่พอใจฉวยพระขรรค์เหาะไปขวางหน้าทศกัณฐ์ ครั้นเห็นนางมณโฑงามดั่งนางฟ้าก็นึกรัก จึงพาลหาเรื่องต่อสู้กับทศกัณฐ์ๆพ่ายแพ้ พาลีจึงแย่งนางมณโฑมาได้ แล้วพากลับเมืองได้นางเป็นเมีย นางมณโฑนั้นแต่แรกก็ไม่ยินยอม แต่ก็ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ กอปรกับพาลีใช้ทั้งวาทศิลป์และเล่ห์ชายจนนางต้องยินยอมในที่สุด นับว่า พาลีเป็นสามีลิงคนแรกของนาง
ส่วนทศกัณฐ์นั้นเมื่อกลับกรุงลงกา ก็เสียใจที่แพ้และยังถูกแย่งนางมณโฑไป จึงคลุ้มคลั่งพาลทำร้ายนางสนมกำนัลในไปหมด ใครเอาใจอย่างไรก็ไม่ถูกใจ และไม่ว่าราชการนานถึงเจ็ดเดือน กุมภกรรณและพิเภกน้องชายจึงช่วยกันคิดหาวิธีแก้ไข ด้วยการไปเชิญพระโคบุตร อาจารย์ของทศกัณฐ์มา เมื่อทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว พระโคบุตรจึงไปหาพระอังคต อาจารย์ของพาลี เพื่อให้ว่ากล่าวพาลีให้คืนนางมณโฑแก่ทศกัณฐ์ พระอังคตจึงเดินทางไปหาพาลีกล่อมให้คืนนางมณโฑ และว่าพาลีทำไม่ถูกที่ไปแย่งเมียคนอื่นเขามา ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง พาลีไม่อยากคืน ก็อ้างว่านางท้องได้หกเดือนแล้ว ไม่อยากให้ลูกตนไปอยู่กับยักษ์ พระอังคตจึงว่าเรื่องนี้ไม่ยาก ท่านจะแหวะท้องนาง เอาลูกมาใส่ในท้องแพะไว้ก่อนจนกว่าจะคลอด พาลีบ่ายเบี่ยงอย่างไรก็ไม่เป็นผล แม้จะไม่เต็มใจ ก็จำต้องยอมคืนนางแก่ทศกัณฐ์ ครั้นนางมณโฑทราบเรื่องก็เสียใจ ร้องไห้จนสลบไป พระอังคตเห็นเป็นโอกาสดี จึงผ่าท้องเอาลูกนางไปใส่ในท้องแพะ และร่ายมนตร์วิเศษปิดท้องให้อย่างเดิม เมื่อนางฟื้นก็พาตัวไปคืนทศกัณฐ์ ส่วนลูกนางกับพาลีที่ฝากไว้กับท้องแพะ เมื่อถึงกำหนดสิบเดือน พระอังคตก็ทำพิธีผ่าออกมาจากท้องแพะ แล้วให้ชื่อว่า “ องคต ” เลียนชื่อท่านเองเพื่อเป็นมงคลนาม (นี่จะเห็นว่า การอุ้มบุญ มีมาแต่โบราณกาล แถมวิทยาการยังทันสมัยกว่าอีก เพราะให้สัตว์อุ้มท้องแทนก็ได้)
ส่วน ทศกัณฐ์ได้นางมณโฑคืนมา ก็ดีใจพาเหาะกลับกรุงลงกา แล้วเกี้ยวพาราสีต้องเนื้อต้องตัวนาง จนในที่สุดก็ได้นางเป็นเมียสมใจ ถือเป็นสามีคนที่สอง นางมณโฑนั้น เมื่อเป็นเมียพาลีก็คงรักพาลี เพราะเป็นชายคนแรกของนาง ครั้นต้องมาเป็นเมียทศกัณฐ์ นางก็รักและจงรักภักดีต่อทศกัณฐ์เช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อทศกัณฐ์ลักนางสีดามา และต้องทำสงครามต่อสู้กับพระราม พระลักษณ์และหนุมานยืดเยื้อเป็นเวลานาน จนต่างฝ่ายต่างต้องเสียไพร่พลไปมากมายนั้น ทศกัณฐ์ก็ได้สอบถามนางมณโฑว่าตอนที่นางอยู่กับพระแม่อุมา ได้เรียนมนตร์วิเศษอะไรบ้าง นางก็ว่าเคยเรียนมนตร์ที่เรียกว่า “ สัญชีพ ” ไว้ ซึ่งมนตร์นี้ถ้าทำสำเร็จจะได้น้ำทิพย์อันวิเศษ ผู้ใดตายไปแล้ว หากพรมด้วยน้ำทิพย์นี้ ก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมา ใช้ให้ทำอะไรก็ได้ และยังสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ด้วย แต่มีข้อแม้ว่าผู้ทำพิธีห้ามพูด และห้ามร่วมเสน่หาระหว่างกระทำพิธี ทศกัณฐ์ได้ทราบก็ดีใจนัก รีบตั้งโรงพิธีให้นางมณโฑทันที ครั้นทำพิธีครบเจ็ดวัน ก็บังเกิดน้ำทิพย์ขึ้นในหม้อทองคำ นางมณโฑก็ให้รีบนำไปให้ทศกัณฐ์ที่สนามรบ ทศกัณฐ์จึงใช้น้ำทิพย์ประพรมไพร่พลยักษ์ที่ตายไป ทำให้เหล่ายักษ์ปีศาจฟื้นขึ้นมาช่วยต่อสู้ใหม่ และเข้าโจมตีไพร่พลวานรของพระรามจนแตกกระเจิงไป พระรามเห็นดังนั้น ก็สอบถามพิเภกดู เมื่อทราบความจริง จึงได้ส่งหนุมาน พร้อมด้วยวานรอีกจำนวนหนึ่งไปทำลายพิธี หนุมานจึงได้แปลงตนเป็นทศกัณฐ์ และให้พลพรรควานรที่ไปด้วยแปลงเป็นพวกทศกัณฐ์เดินทัพกลับเข้ากรุงลงกา ทำทีว่าชนะศึกกลับมาแล้ว จากนั้นหนุมานก็ตรงไปโรงพิธี ใช้เล่ห์กลหลอกนางมณโฑให้เข้าใจว่าตนเป็นทศกัณฐ์กลับมาขอบคุณนางที่ทำให้รบ ชนะ แล้วก็พานางกลับปราสาทโอ้โลมปฏิโลมจนได้ร่วมพิศวาสกับนาง ส่วนพลพรรควานรที่อยู่ข้างนอกก็ทำลายโรงพิธีจนหมดสิ้น เมื่อหลอก “ นอน ” กับนางมณโฑ เป็นการทำลายพิธีได้สำเร็จแล้ว หนุมานแปลงก็ลานาง ทำทีว่าจะไปจับพิเภกที่หนีไปได้ จากนั้นก็กลับไปทูลพระรามว่าสามารถล้มพิธีได้แล้ว พระรามจึงสั่งให้สุครีพนำพลเข้าโจมตีพวกยักษ์ ฝ่ายทศกัณฐ์เมื่อต่อสู้ไปๆ น้ำทิพย์ที่จะพรมยักษ์ตาย ให้ฟื้นก็หมด ไม่เห็นมีใครมาส่งเพิ่ม แล้วยังถูกพวกลิงเยาะเย้ย ก็เอะใจ ขอพักรบ แล้วกลับเมือง ไปถึงเห็นโรงพิธีพินาศ จึงไปสอบถามและต่อว่านางมณโฑที่อยู่ในปราสาท และยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่ นางมณโฑก็เล่าเรื่องราวให้ทราบ ทศกัณฐ์ก็รู้ว่าเสียท่าหนุมานแล้ว ก็บอกเมีย นางมณโฑทั้งอับอายขายหน้า ทั้งเสียใจที่เสียตัวและเสียรู้หนุมาน จึงร้องไห้จนสลบไป ทศกัณฐ์ก็แก้ไขจนฟื้น แต่นางยังรู้สึกเสียใจร้องไห้รำพึงรำพันขอให้ทศกัณฐ์ฆ่านางเสียเพราะนางทำ ให้เสียเกียรติสามี แต่ทศกัณฐ์นั้นทั้งรักและสงสารเมีย จึงปลอบโยนนาง
มณโฑ และว่าตนไม่ถือโทษโกรธนาง ถือเสียว่าเป็นกรรมเป็นเวรไปก็แล้วกัน ส่วนการต่อสู้ ตนก็จะหาวิธีอื่นต่อไป นางจึงค่อยคลายทุกข์ไป ดังนั้น หนุมานจึงเป็นสามีคนที่สาม แต่เป็นสามีลิงคนที่สองของนาง (พาลีเป็นคนแรก) แต่อย่างกรณีของหนุมาน จะนับว่าเป็นสามีจริงๆจังๆอย่างพาลี และทศกัณฐ์คงไม่ได้ เพราะเป็นการได้นางเป็นเมียแบบใช้เล่ห์กล และถ้านางรู้ก็คงไม่ยอมเป็นแน่
ต่อมาภายหลัง เมื่อหนุมานสามารถล่อลวงเอากล่องดวงใจของทศกัณฐ์มาจากพระโคบุตร อาจารย์ของทศกัณฐ์ จนทำให้พระรามฆ่าทศกัณฐ์ตายได้ในที่สุดนั้น ก่อนตายทศกัณฐ์ก็ได้ฝากฝังนางมณโฑไว้กับพิเภกน้องชาย ครั้นชนะศึกแล้ว พระรามก็ได้จัดพิธีราชาภิเษกให้พิเภกได้ครองกรุงลงกาต่อมา โดยให้ชื่อใหม่ว่า “ ท้าวทศคิริวงศ์ ” และประทานนางมณโฑให้ พิเภกจึงเป็นสามีคนที่สี่ และเป็นสามียักษ์คนที่สองของนางมณโฑ ต่อมานางมณโฑได้คลอดลูกชายชื่อ “ ไพนาสุริย์วงศ์ ” ซึ่งเป็นลูกทศกัณฐ์ที่ติดท้องนางมณโฑมา ก่อนที่ทศกัณฐ์จะตาย แต่พิเภกไม่รู้ และเข้าใจว่าเป็นลูกตน จึงรักและชื่นชมเลี้ยงดูลูกนางเป็นอย่างดี ต่อมาไพนาสุริย์วงศ์รู้จากพี่เลี้ยงว่าทศกัณฐ์ซึ่งเป็นพ่อแท้ๆ ตายไปแล้ว ส่วนพิเภกเป็นเพียงพ่อเลี้ยง จึงไปถามนางมณโฑดูจนรู้ความจริง จึงอุบายขอลาไปเรียนวิชา เมื่อเรียนจบก็แอบไปหาท้าวจักรวรรดิเพื่อนทศกัณฐ์ให้มาช่วยแก้แค้นพิเภก จับพิเภกขังคุก และท้าวจักรวรรดิ์ก็ได้ตั้งไพนาสุริย์วงศ์ลูกทศกัณฐ์กับนางมณโฑครองกรุงลงกา แทน โดยตั้งนามใหม่ให้ว่า “ ทศพิน ” ต่อมาทศพินก็ต้องตายไปเพราะมีการสู้รบแก้แค้นไปมา ส่วนนางมณโฑแม้จะได้ห้ามลูกไว้แต่แรกแล้ว แต่ทศพินหรือไพนาสุริย์วงศ์ก็ไม่ฟัง จึงต้องตายไปในที่สุด นางมณโฑเองก็เกือบต้องโทษในฐานะเป็นแม่ด้วย แต่พอดี “ องคต ” ลูกชายอีกคนที่เกิดกับพาลี มีความดีความชอบ จึงรอดพ้นโทษมาได้ ซึ่งเนื้อหารามเกียรติ์ตอนต่อไปยังมีอีกมาก แต่มิได้กล่าวถึงนางมณโฑอีก
จะเห็นได้ว่าชีวิตของ “ นางมณโฑ ” นางกบที่พระฤาษีอุตส่าห์ชุบชีวิตให้เป็นสาวงาม แม้ว่า จะต้องมีผัวถึงสี่คน แต่ถ้าอ่านตามเนื้อเรื่องแล้ว จะเห็นได้ว่า นางมิใช่หญิงร่าน หรือจงใจใช้ความงามหว่านเสน่ห์เพื่อหาสามี เลย ตรงกันข้าม การมีสามีแต่ละครั้งแต่ละหน ล้วนอยู่ในภาวะจำยอมทั้งสิ้น นั่นคือ ไม่ถูกยกให้ ก็ถูกแย่ง หรือถูกหลอก โดยเมื่อแรกอยู่กับพระแม่อุมาดีๆ ก็ถูกยกให้ทศกัณฐ์ ยังไม่ทันอยู่กินกับทศกัณฐ์ก็ถูกแย่งไปเป็นเมียของพาลี แล้วถูกพากลับมาเป็นเมียทศกัณฐ์อีก ครั้นแล้วก็ต้องตกเป็นเมียหนุมานโดยไม่รู้ว่าถูกหลอกขณะทำพิธีช่วยทศกัณ ฐ์สามี และท้ายสุดก็ถูกยกให้เป็นเมียน้องสามีคือพิเภกอีก นางมณโฑจึงนับเป็นสาวงามผู้อาภัพยิ่งนัก แม้นาง จะมากผัว เป็นผัวลิงบ้าง ผัวยักษ์บ้าง แต่ก็กล่าวได้ว่า นางมิใช่ผู้หญิงประเภทมั่วรัก กลับเป็นหญิงที่ดีงามคนหนึ่ง เพราะนางจงรักภักดีต่อสามีทุกคน (ยกเว้นหนุมานเพราะได้ด้วยเล่ห์กล) มิฉะนั้นแล้ว เราอาจจะมี วลีเสียดสีผู้หญิงที่มีสามีหลายคนเพิ่มจากนางวันทอง โมรา กากี โดยต่อท้ายว่า นางมณโฑมากผัวก็ได้
 

รวมภาพนางในวรรณคดีไทย

Wednesday, November 28, 2012

ภาพนางในวรรณคดีไทยจากหลายเรื่อง
จากเรื่องกาพย์เห่ครวญ ของเจ้าฟ้ากุ้ง
นางเบญจกาย

บุษบาจากเรื่องอิเหนา
จันทวดี นางเงือก

นางกินรี
วันทอง
นางลักษณาวดี
มโนราห์
พระเพื่อนพระแพง
พินทุมวดี
 
วาสิษฐี
เบญจกายและหนุมาน
 
ศรีสุพรรณ
สร้อยฟ้า
รจนา
แม่หญิงเรไรจากขุนศึก
นางเงือกกับพระอภัยมณี

วรรณคดีไทย

วรรณคดีไทย
 
 
 
ความหมายโดยทั่วไป

            วรรณคดีหรือวรรณกรรมเป็นงาน ศิลปะ รูปแบบหนึ่งซึ่งมนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อบำรุงจิตใจให้ร่าเริงแช่มชื่น และเพื่อแสดง
ความรู้สึกนึกคิดเมื่อมีอะไรมากระทบใจ 
            วรรณคดี เป็นศัพท์ที่หมายถึง “ งานหนังสือ ” แต่มักใช้กันอย่างมีนัยของการประเมินค่าว่า “ แต่งดี ” อยู่ด้วย วรรณคดีมีคำแปลตามศัพท์ว่า“ เรื่องราว ” ( คดี) ที่สื่อด้วยตัวหนังสือ เสียง และถ้อยคำ (วรรณ)
             คำว่า วรรณคดี ปรากฏในหนังสือไทยเป็นครั้งแรกในพระราชกฤษฎีกาตั้งวรรณคดีสโมสร ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2457 แต่มิได้กำหนดว่าวรรณคดีคืออะไร เพียงแต่กำหนดหนังสือ 5 ประเภท คือ กวีนิพนธ์ ละครไทย นิทาน ละครพูด และอธิบาย ( essay)
เป็นหนังสือที่ควรพิจารณาได้รับการยกย่อง หนังสือใดจะเป็นหนังสือดีต้องมีคุณลักษณ์ ดังนี้
- เป็นเรื่องที่ดี สาธารณชนอ่านได้โดยไม่เสียประโยชน์
- ใช้วิธีเรียบเรียงอย่างใดก็ตาม แต่ต้องให้เป็นภาษาไทยอันดี
พระยาอนุมานราชธน อธิบายเพิ่มเติมว่า
“ หนังสือที่แต่งขึ้นและเขียนตีพิมพ์เป็นเรื่องแล้ว
ย่อมเรียกได้ว่าเป็นวรรณคดี แต่หนังสือที่วรรณคดีสโมส
รยกย่องสมควรได้รับประโยชน์ คือหนังสือที่มีลักษณะตาม
ที่กำหนดเงื่อนไขไว้ในพระราชกฤษฎีกานั้น ส่วนหนังสืออื่นๆ ซึ่งไม่เข้าอยู่ในข่ายแห่งข้อความในพระราชกฤษฎีกา
ก็ต้องถือว่าเป็นวรรณคดีด้วยเหมือนกัน ” ( การศึกษาวรรณคดีแง่วรรณศิลป์)

ข้อมูลภาพจาก http://www.bloggang.com/data/sdayoo/picture/1153962365.jpg

กาพย์เห่เรือ เห่ชมเครื่องคาว

Thursday, September 27, 2012

กาพย์เห่เรือ เห่ชมเครื่องคาว


กาพย์เห่เรือ พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่มา : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร



ที่มา

       กาพย์เห่เรือนี้สันนิษฐานว่าทรงพระราชนิพนธ์ เพื่อชมฝีพระหัตถ์ในการแต่งเครื่องเสวยของ
สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชิน
ผู้แต่ง
       พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2)
ลักษณะคำประพันธ์
       แต่งเหมือนกาพย์เห่เรือ ประกอบด้วยโคลงสี่สุภาพ จำนวน 1 บท และกาพย์ยานี 11
ความมุ่งหมาย
       1. เพื่อเป็นบทเห่เรือพระที่นั่งเวลาเสด็จประพาสส่วนพระองค์
       2.เพื่อชมฝีพระหัตถ์ในการปรุงเครื่องเสวยของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี
เนื้อเรื่องย่อ
       กล่าวถึงอาหารคาวทั้ง 15 ชนิด คือ แกงมัสมั่นไก่, ยำใหญ่,ตับเหล็กลวก, หมูแนม, ก้อยกุ้ง, แกงเทโพ, น้ำยา,
แกงอ่อม,ข้าวหุงเครื่องเทศ,แกงคั่วส้ม,พล่าเนื้อ,ล่าเตียง หรุ่ม, ไตปลา,แสร้งว่า และอาหารหวานอีก1 ชนิดคือ รังนก
เมื่อกล่าวถึงอาหารชนิดใด กวีจะพรรณนาเชื่อมโยงไปถึงหญิงคนรัก

ตัวอย่างกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน


กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน
       แกงไก่มัสมั่นเนื้อ             นพคุณ พี่เอย
หอมยี่หร่ารสฉุน                     เฉียบร้อน
ชายใดบริโภคภุญช์                 พิศวาส หวังนา
แรงอยากยอหัตถ์ข้อน            อกให้หวนแสวง ๚

              
               มัสมั่น หมายถึง ชื่อแกงชนิดหนึ่ง เป็นแกงเผ็ดอย่างมุสลิม ปรุงด้วยเครื่องเทศ
               นพคุณ หมายถึง นางที่รัก, น้องที่รัก
               ยี่หร่า หมายถึง ชื่อเครื่องเทศชนิดหนึ่ง กลิ่นหอมฉุน
               ภุญช์ หมายถึง กิน, รับประทาน
               ข้อนอก หมายถึง ตีอก

       แกงมัสมั่นไก่ของน้องที่รักของพี่ มีกลิ่นหอมฉุนของยี่หร่า คงมีรสร้อนแรงมากชายใดได้รับประทานเข้าไปแล้ว
จะทำให้เกิดความรักใคร่และความหวังในตัวน้องจนถึงกับเอามือทุบอกตัวเอง และอยากกลับไปรับประทานอีก

       ๏ มัสมั่นแกงแก้วตา        หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง                  แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา

       แกงมัสมั่นของน้องอันเป็นที่รักยิ่งของพี่ มีกลิ่นหอมของยี่หร่าคงมีรสร้อนแรงมาก ชายใดเมื่อได้รับประทาน
เข้าไปแล้ว จะทำให้คิดถึงแต่คนทำ


       ๏ ยำใหญ่ใส่สารพัด       วางจานจัดหลายเหลือตรา
รสดีด้วยน้ำปลา                   ญี่ปุ่นล้ำย้ำยวนใจ

ยำใหญ่ หมายถึง ชื่ออาหารยำแบบไทย ประกอบด้วย
แตงกวา ไข่ต้กุ้งต้ม หมูต้ม หนังหมู เห็ดหูหนู หัวผักกาด
ขาว ใบสะระแหน่ ใบโหระพา ปรุงให้มีรสเปรี้ยว เค็ม
หรือหวานก็ได้ เหลือตรา หมายถึง เหลือจะพรรณนา
หรือเหลือคะเนนับ


       ยำใหญ่ที่มีเครื่องครบครับ จัดวางอยู่ในจานอย่างสุดจะพรรณนาปรุงรสด้วยน้ำปลาญี่ปุ่นทำให้
น่าลิ้มลองอย่างยิ่ง

       ๏ ตับเหล็กลวกหล่อนต้ม    เจือน้ำส้มโรยพริกไทย
โอชาจะหาไหน                          ไม่มีเทียบเปรียบมือนาง

ตับเหล็ก  หมายถึง ม้ามของหมู
โอชา        หมายถึง รสอร่อย

       น้องนำตับเหล็กมาลวกแล้วใส่น้ำส้มพร้อมกับโรยพริกไทยลงไป ทำให้มีรสอร่อยมาก ไม่มีที่ไหน
นำมาเปรียบกับฝีมือของน้องได้

       ๏ หมูแนมแหลมเลิศรส      พร้อมพริกสดใบทองหลาง
พิศห่อเห็นรางชาง                    ห่างห่อหวนป่วนใจโหย

หมูแนม หมายถึง ชื่ออาหารว่างมีหลายแบบ เช่น หมูแนม
              แข็งต้องห่อหมูที่โขลกหรือบดและผสมเครื่องปรุง
              แล้วตามด้วยใบทองหลางที่ซ้อนบนใบตอง มัดแน่น
              เก็บไว้ 3 วันจึงปิ้งทั้งห่อ แกะออกมารับประทาน
              กับผักและน้ำจิ้ม
รางชาง หมายถึง สวยงาม, เด่น

       หมูแนมมีรสดีเยี่ยม พร้อมมีพริกสดกับใบทองหลางเคียง พี่มองดูห่อหมูแนมแล้วเห็นสวยงาม แต่ครั้นพอ
พี่ห่างห่อหมูแนม ทำให้หัวใจพี่ปั่นป่วนคิดถึงแต่น้องอยู่ตลอดเวลา

       ๏ ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น       วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
รสทิพย์หยิบมาโปรย               ฤๅจะเปรียบเทียบทันขวัญ

ก้อย หมายถึง อาหารจำพวกเครื่องจิ้ม ทำจากเนื้อปลา
        หรือกุ้งที่ยังดิบ รับประทานกับผักสด
ประทิ่น หมายถึง กลิ่นหอม
แด หมายถึง ใจ

       ก้อยกุ้งปรุงเสร็จแล้วกลิ่นหอมมากราวกับอาหารทิพย์ เมื่อสัมผัสลิ้นอร่อยมากจนแทบขาดใจ ฝีมือปรุงอาหาร
ของน้องจึงไม่มีใครเทียบได้

       ๏ เทโพพื้นเนื้อท้อง      เป็นมันย่องล่องลอยมัน
น่าซดรสครามครัน             ของสวรรค์เสวยรมย์

เทโพ หมายถึง ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ไม่มีเกล็ด รูปร่างคล้าย
         ปลาสวายเนื้อมีรสอร่อย มักใช้แกงคั่วส้ม ใส่ผักบุ้ง
         เรียกว่า แกงเทโพ
รสครามครัน หมายถึง รสอร่อยมาก

       แกงปลาเทโพโดยใช้เนื้อท้องที่มีมันมาแกง ดูน่าซดเสียเหลือเกิน คงมีรสอร่อยมาก เปรียบเหมือนอาหารทิพย์
ที่พึงใจ

       ๏ ความรักยักเปลี่ยนท่า        ทำน้ำยาอย่างแกงขม
กลอ่อมกล่อมเกลี้ยงกลม              ชมไม่วายคล้ายคล้ายเห็น

แกงขม หมายถึง เครื่องกินกับขนมจีนน้ำยามีมะระหั่นเป็น
            ชิ้นเล็กๆ แล้วลวกให้สุก
กล หมายถึง เหมือน
อ่อม หมายถึง ชื่อแกงชนิดหนึ่ง คล้ายแกงคั่ว แต่ใส่มะระ มัก
        ใช้แกงกับปลาดุก เรียกว่าแกงอ่อมมะระ หรือแกงอ่อม
        มะระปลาดุก
กล่อมเกลี้ยงกลม หมายถึง รสกลมกล่อม

       ด้วยความรักของน้องที่มีต่อพี่ น้องจึงเปลี่ยนมาทำ
น้ำยาอย่างแกงขม เหมือนแกงอ่อมมะระ ซึ่งมีรสกลมกล่อม
ทำให้พี่ต้องชมฝีมือของน้องขาดปาก และคลับคล้ายเห็นหน้า
น้องตลอดเวลา
มัสมั่นเนื้อวัว
ยำใหญ่
ตับเหล็ก
หมูแนม
ก้อยกุ้ง
แกงเทโพ
แกงขม
แกงอ่อม
       ๏ ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ      รสพิเศษใส่ลูกเอ็น
ใครหุงปรุงไม่เป็น                     เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ

ลูกเอ็น หมายถึง ลูกกระวาน
เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ หมายถึง เหมือนกับที่น้องตั้งใจทำ

       ข้าวหุงปรุงด้วยเครื่องเทศ มีรสพิเศษเพราะใส่ลูกกระวานลงไป ใครก็หุงไม่ได้อย่างที่น้องตั้งใจทำ

ข้าวหุง
       ๏ ช้าช้าพล่าเนื้อสด        ฟุ้งปรากฏรสหื่นหอม
คิดความยามถนอม              สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ์

พล่า หมายถึง อาหารยำที่ใช้เนื้อสดๆ ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว
        น้ำปลา พริก ตะไคร้ฝอย ใบสะระแหน่ เป็นต้น
หื่นหอม หมายถึง หอมมากจนเร้าอารมณ์
เสาวคนธ์ หมายถึง ของหอม, เครื่องหอม, กลิ่นหอม

หมูป่าต้ม
       น้องรู้เรื่องในการทำอาหารมากจริงๆ นำเอาหมูป่า
มาต้มทำแกงคั่วส้มใส่ระกำ ทำให้เห็นเค้าเงื่อนแห่งความลับ
ระหว่างพี่กับน้อง ซึ่งมีแต่ความทุกข์ระทมใจ
แกงคั่ว

       ๏ เหลือรู้หมูป่าต้ม     แกงคั่วส้มใส่ระกำ
รอยแจ้งแห่งความขำ         ช้ำทรวงเศร้าเจ้าตรากตรอม

แกงคั่วส้ม หมายถึง ชื่อแกงเผ็ด ปรุงน้ำพริกคล้ายแกงส้ม
                 แต่ใส่กะทิ
ความขำ หมายถึง ความลับ
ระกำ หมายถึง ชื่อปาล์มชนิดหนึ่ง ขึ้นเป็นกอ ก้านใบมี
         หนามแข็ง ผลออกเป็นกระปุกกินได้

       ห้องทำพล่าเนื้อสดกลิ่นหอมฟุ้งมากจนเร้าอารมณ์พี่ ทำให้คิดถึงครั้งเมื่อเราเคยทะนุถนอมรักใคร่ใกล้ชิดกัน
ด้วยความสดชื่นหอมหวน

พล่าเนื้อ
ล่าเตียง
       ๏ ล่าเตียงคิดเตียงน้อง       นอนเตียงทองทำเมืองบน
ลดหลั่นชั้นชอบกล                   ยลอยากนิทรคิดแนบนอน

ล่าเตียง หมายถึง ชื่ออาหารว่างทำด้วยไข่โรยเป็นฝอย
             บนกระทะ แล้วหุ้มใสที่ทำด้วยกุ้งสับปรุงรส
             พับห่อจัดเป็นคำๆ วางเป็นชั้นๆ
เมืองบน หมายถึง เมืองฟ้า, เมืองสวรรค์
ลดหลั่นชั้นชอบกล หมายถึง มีลวดลายเป็นชันๆ อย่างสวยงาม
นิทร หมายถึง นอน

       พอเห็นอาหารที่ชื่อว่าล่าเตียง ทำให้พี่คิดถึงเตียงนอนของน้อง ที่เป็นเตียงทองทำเหมือนอยู่บนสวรรค์
ซึ่งมีลวดลายเป็นชั้นๆ อย่างสวยงาม เห็นแล้วทำให้คิดอยากนอนกับน้อง

       ๏ เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า      รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน
เจ็บไกลในอาวรณ์                       ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง

หรุ่ม หมายถึง อาหารว่างคล้ายล่าเตียง ทำด้วยไข่โรยเป็นฝอย
        แต่ไส้ทำด้วยหมูสับ ห่อเป็นคำแต่คำใหญ่กว่าล่าเตียง
ไฟฟอน หมายถึง กองไฟที่ดับแล้วแต่ยังมีความร้อนระอุอยู่

       พอเห็นอาหารที่ชื่อว่าหรุ่ม ความเศร้าก็ประดังกันเข้ามาในอก ทำให้ร้อนระอุอยู่ในอก เป็นความเจ็บปวด
ที่ยาวนานด้วยใจคิดถึงน้อง ทำให้พี่ร้อนรุ่มกลุ้มใจ

หรุ่ม
       ๏ รังนกนึ่งน่าซด         โอชารสกว่าทั้งปวง
นกพรากจากรังรวง            เหมือนเรียมร้างห่างห้องหวน

รังนก หมายถึง รังนกนางแอ่น ทำด้วยน้ำลายนกที่ขยอกออก
          มาจากลำคอใช้นึ่งแล้วทำเป็นอาหารหวานคาวได้
เรียม หมายถึง พี่

       เห็นรังนกนึ่งช่างน่าชม และคงมีรสอร่อยกว่าอาหารอื่นๆ ทำให้พี่นึกถึงการที่นกต้องพรากจากรังไป
ซึ่งก็เหมือนกับการที่ตัวพี่ต้องพลัดพรากจากน้องไป

รังนก
       พอเห็นอาหารไตปลา และแสร้งว่า ทำให้หวนคิดถึง
คำพูดที่กระบิดกระบวนของน้อง ครั้นพอแลไปเห็นใบ
ของต้นโศกก็บอกให้พี่รู้ว่าน้องกำลังคร่ำครวญถึงพี่ทำให้
พี่เฝ้ารอคอยน้องรักของพี่อยู่ตลอดเวลา

แกงไตปลา
แสร้งว่า
       ๏ ไตปลาเสแสร้งว่า        ดุจวาจากระบิดกระบวน
ใบโศกบอกโศกครวญ            ให้พี่เคร่าเจ้าดวงใจ

ไตปลา หมายถึง เนื้อที่เป็นก้อนแข็งอยู่ในกระเพาะปลาบาง
            ชนิดเช่น ปลาทู ใช้หมักเกลือ แล้วปลุงอาหารแบบ
            เครื่องจิ้ม
แสร้งว่า หมายถึง ชื่ออาหารชนิดหนึ่ง ทำด้วยกุ้งปรุงเป็น

             เครื่องจิ้ม
เคร่า หมายถึง คอย

       ๏ ผักโฉมชื่อเพราะพร้อง    เป็นโฉมน้องฤๅโฉมไหน
ผักหวานซ่านทรวงใน              ใคร่ครวญรักผักหวานนาง ๚

ผักโฉม หมายถึง ผักกระโฉมซึ่งเป็นไม้ล้มลุก ชอบขึ้นที่ชื้น
            แฉะ ดอกเล็กๆ สีม่วงแกมชมพูกลางเหลือง ออกเป็น
            กระจุกที่ง่ามใบหรือปลายกิ่ง ทุกส่วนของไม้นี้มีกลิ่น
            หอมใช้เป็นอาหารและใช้ทำยาได้
พร้อง หมายถึง พูดถึง
ผักหวาน หมายถึง ชื่อไม้พุ่มชนิดหนึ่ง ยอดและดอกอ่อนกินได้

       ผักโฉมเป็นชื่อที่พูดถึงที่มีความไพเราะ ไม่ว่าจะเป็นตัวน้องหรือคนอื่น แต่พอเอ่ยชื่อผักหวานแล้วรู้สึกว่า
ความหวาน จะแล่นกระจายเข้าไปในอก ทำให้พี่คิดถึงความรักที่อ่อนหวานของน้อง

ผักหวาน
การพิจารณาคุณค่า
       กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานฯ นับเป็นวรรณคดีที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง แม้มีเนื้อเรื่องที่ไม่ยาวนัก แต่ให้คุณค่า
ที่มีประโยชน์หลายประการ คือ
       1. ให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมด้านอาหารการกินของคนไทยสมัยโบราณ สะท้อนให้เห็นความละเอียดอ่อน
พิถีพิถันในทุกขั้นตอนของการทำอาหาร
       2. ให้ความรู้เกี่ยวกับประเพณี ความเชื่อต่างๆ เช่น พิธีโล้ชิงช้า ซึ่งเป็นคติความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ ประกอบ
พิธีในช่วงเดือนยี่
       3. สะท้องสภาพบ้านเมืองในสมัยอดีต มีการติดต่อค่าขายกับชาวต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย จึงมีการแลกเปลี่ยน
วัฒนธรรมด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย เช่น ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ รสพิเศษใสลูกเอ็น ซึ่งเป็นวิธีการหุงข้าวแบบแขกเปอร์เซีย ใส่เครื่องเทศชนิดหนึ่งเรียกว่า "ลูกเฮลท์" เพี้ยนเสียงมาเป็น "ลูกเอ็น"
       4. ให้คุณค่าเชิงวรรณศิลป์ กวีสามารถพรรณนาอาหารแต่ละชินิดได้อย่างเห็นภาพ ใช้ถ้อยคำเปรียบเทียบลึกซึ้ง
กินใจ และไพเราะ
















พิกุลทอง

พิกุลทอง
 


บทละครนอก เรื่องพิกุลทอง เป็นนิทานไทยเรื่องหนึ่งซึ่งไม่ปรากฎหลักฐานเกี่ยวกับผู้แต่ง แต่เมื่อพิจารณาจากสำนวนที่ติดปากคนไทยว่า "กลัวดอกพิกุลจะร่วง" อาจสันนิษฐานได้ว่านิทานไทยเรื่อง พิกุลทอง คงเป็นที่นิยมมากในอดีต ที่มา : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร


เรื่องย่อ พิกุลทอง ตอน 1-30
     ตอน 1
    เปิดเรื่องที่ผอบลอยน้ำมา ติดที่ชายฝั่ง เจ้าชายพิชัยมงกุฎ ลงจากหลังม้า แล้วหยิบผอบมาดู
                ณ เมืองชัยมงกุฎ ซึ่งมีพระสังข์ศิลป์ชัย และพระนางสุพรรณกัลยา เป็นผู้ปกครอง พิชัยมงกุฎพระโอรส ได้เปิดผอบพบดอกพิกุลทอง และเส้นผม ก็เพ้อหาเจ้าของจนไม่เป็นอันกินอันนอน พระพิชัยมงกุฎพบจดหมาย เป็นบันทึกเรื่องราวของเจ้าหญิงพิกุลทอง
 สิบห้าปีก่อนหน้านั้น ณ เมือง สัณนุราช เจ้าหญิงพิกุลทองได้ประสูติขึ้นมา มีดอกพิกุลทองลอยมาจากปาก โหรทำนายว่าเจ้าหญิงมีบุญญาธิการสูงส่ง มีจิตใจงดงาม ยามพูดจึงมีพิกุลทองลอยออกมา วันหนึ่ง มหาดเล็กมาทูลว่าพวกนกในป่าพากันเข้ามาทำรังในอุทยานที่ตกแต่งไว้อย่าง ดี แถมยังบินมาขโมยอาหารในครัว ท้าวสัณนุราช สั่งให้ทหารขับไล่พวกนกไป แต่เจ้าหญิงองค์น้อยได้ตรัสว่า รังพวกนกก็คือบ้านของพวกมัน ถ้าเราไปไล่มันออกจากบ้าน ก็น่าสงสาร และขอร้องเสด็จพ่อให้สร้างบ้านให้พวกมันอยู่อย่างเป็นระเบียบ  ท้าวสัณนุราชกับมเหสีเห็นดีงามด้วย จึงสร้างอุทยานนก ให้พวกมันอยู่ พวกนกจึงไม่มารบกวนในวัง แถมยังรักใคร่เจ้าหญิงองค์น้อย อีกด้วย คอยบินวนเวียนมาร้องเพลงให้ฟังตลอดเวลา เมื่อเข้าสู่วัยสาว ท้าวสัณนุราชและมเหสี ก็เตรียมหาคู่ครองให้เจ้าหญิงพิกุลทอง แต่เจ้าหญิงกลับไม่สนใจ พวกนกพากันซ้อมร้องเพลงเพื่อไปอวยพรเจ้าหญิง เจ้ากาดำ อยากร่วมวงกับนกตัวอื่นในอุทยาน และหวังจีบเจ้าหงส์หยกที่มีแฟนเป็นนกแก้ว จึงพยายามมาขอเข้าวงด้วย แต่นกตัวอื่นพากันรังเกียจ
 
     ตอน 2
     พวกนกพากันบินไปร้องอวยพร เมื่อเจ้าหญิง 15 พรรษา เจ้ากาพยามบินมาร่วมวง แต่ถูกไล่ไป ขณะที่เจ้ากาดำพยายามขอคัดเลือกเข้าวง แต่เสียงร้องไม่ผ่าน ถูกโหวตออกสร้างความน้อยใจให้มันมาก แต่ก็ยังไม่ยอมละความพยายาม ณ เมืองแร้ง อันมีอุษณปักษี เป็นเจ้าแห้งแร้ง ประชากรแร้งอดอยากเพราะหาซากสัตว์กินไม่ได้ พญาแร้งอยากกินของสด จึงให้ลูกสมุนออกไปหาแหล่งอาหารใหม่ พวกลูกสมุนบินออกไปหาอาหาร ในขณะที่เจ้าหญิงพิกุลทองกำลังสรงน้ำอยู่กับเหล่าพี่เลี้ยง เหล่าพี่เลี้ยงเมื่อเจอพวกแร้งก็พากันรังเกียจขว้างปาจนแร้งหนีไป สมุน แร้งไปรายงานให้พญาแร้งฟัง พญาแร้งโกรธมาก ให้พาไปดูตัวมนุษย์ที่พูดจาดูถูกแร้ง  พญาแร้งได้ไปพบเจ้าหญิงพิกุลทองก็หลงรัก คิดจะจับเป็นชายา
 
      ตอน 3
      พญาแร้งส่ง พิศนุปักษี แร้งที่ปรึกษาแปลงตัวเป็นเจ้าชาย ไปสืบดู พบว่าท้าวสัณนุราชหวงลูกสาวเป็นอันมาก แถมยังเป็นกษัตริย์ที่ตรัสแล้วไม่คืน คำ จึงคิดแผนให้ท้าวสัณนุราชยกเจ้าหญิงพิกุลทองให้ตนอย่างปฎิเสธมิได้  ขณะที่เจ้ากา ยังหาทางจีบเจ้าหงส์หยกอยู่ เจ้ากาบินไปหาถั่วงาเพี่อมาให้เจ้าหงส์หยก ณ กระท่อมชายป่า เป็นที่อาศัยของตายาย พญาแร้งแปลงตัวเป็นคนมาขอพักอาศัยกับตายาย แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาเจ้ากาที่มาขโมยถั่วงาพอดี อุษณะมาอยู่กับตายาย ช่วยทำไร่ โดยให้พวกแร้งสมุนมาช่วยทำแทน ตายายคิดว่าอุษณะเก่ง ก็รักใคร่เหมือนลูกเหมือนหลาน ตากับยายสบายไม่ต้องทำงาน จนเคยตัว อุษณะเอาเงิน ข้าวของมาฝากตลอดเวลา  เจ้ากาพยายามไปบอกพวกนกว่าพวกแร้งปลอมเป็นคนไปอาศัยกระท่อมตายาย แต่พวกนกมัวแต่ซ้อมร้องเพลงไม่สนใจ
 
     ตอน 4
     เจ้าหญิงพิกุลทองเสด็จเยี่ยมชาวบ้าน อุษณะแอบตามไปรับเสด็จ แล้วคิดแผนการชั่วร้าย เจ้ากาสงสัยแอบตาม แต่ต้องคอยหลบพวกแร้งที่คอยวนเวียนใกล้ ๆ อุษณะ  อุษณะไปขอตายายว่าอยากแต่งงาน ตายายรับปากว่าจะไปสู่ขอให้ แล้วถามว่าใคร อุษณะบอกว่าเจ้าหญิงพิกุลทอง ตายายถึงกับลมใส่ แต่ต้องยอมทำตามเพราะรับปากไว้แล้ว ตายายเข้าวังไปขอเข้าเฝ้า เพื่อขอเจ้าหญิงพิกุลทองให้อุษณะ ท้าวสันณุราชโกรธมากที่ตายายบังอาจขอเจ้าหญิงพิกุลทอง ท้าวสันณุราชบอกว่าถ้าสร้างสะพานเงินสะพานทองจากบ้านมาถึงวังได้ จะยกให้ แต่ถ้าทำไม่ได้จะมีโทษประหาร
ตายายกลับบ้านมาตัวสั่น อุษณะบอกว่าไม่ต้องกลัวและรับปากว่าจะไม่ทำให้ตายายโดนโทษประหารแน่ อุษณะบอกตายายว่าคืนนี้ห้ามออกจากบ้าน ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ตาม เจ้าหญิงพิกุลทองรู้เรื่องที่เสด็จพ่อให้สัญญากับตายาย พี่เลี้ยงบอกให้เจ้าหญิงวางใจเพราะว่า
อุษณะไม่มีทางทำได้
 
     ตอน 5
     อุษณะกลับมาก็แปลงเป็นแร้ง บินมาที่เขาเนินทะกาแล้วเรียกรวมพลบรรดาแร้ง เหล่า แร้งบินมาขนหินจากเขาเนินทะกา แล้วเอามาทิ้งเป็นสะพาน ตายายอยู่ในบ้านได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมก็กลัวจนตัวสั่นไม่กล้าออกไปข้าง นอก กามาเจอตกใจมาก แร้งบากกับแร้งแห้งช่วยกันไล่จับกา แต่กาหนีไปได้  กาบินไปร้องเรียกพวกนกให้มาดู พวกนกเอาแต่หลับอุตุ วันรุ่งขึ้น ไก่ขัน ตายายโผล่หน้ามาตกใจสุดขีดที่มีทางด่วนหน้าบ้านไปถึงวังเลย พวกนกพากันแตกตื่นบินมาดู ที่วังก็แตกตื่นไม่แพ้กัน เมื่อ พระนางรัตนวลัยตื่นบรรทมมองออกมานอกหน้าต่าง ก็เจอสะพานเลย
รีบทูลท้าวสัณนุราชที่ทรงตกพระทัยสุดขีด
  
   ตอน 6
    ตายายพาอุษณะมาทวงสัญญา ท้าวสันนุราชจำต้องรักษาคำพูด และคิดว่าอุษณะต้องมีบุญญาธิการจึงสามารถทำแบบนี้ได้ อุษณะบอกว่าตัวเองแท้จริงแล้วเป็นเจ้าเมืองจากแดนไกล ท้าวสันณุราชจึงยกเจ้าหญิงพิกุลทองให้ พวกนกเริ่มเชื่อเจ้ากา   ขณะที่จะไปบอกเจ้าหญิง ก็ถูกพวกแร้งคุมไว้ ไม่ให้ไปบอก กาบอกว่าถ้าเชื่อกาแต่แรกคงไม่เป็นแบบนี้ เจ้าหญิงบอกสนมว่าต้องทำตามเสด็จพ่อ ไม่อยากให้เสด็จพ่อเสียคำพูด พระนางรัตนวลัยมาปลอบ เจ้าหญิงพิกุลทอง ยอมแต่งงานกับอุษณะ พิธีอภิเษกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เจ้าหญิงพิกุลทองรู้สึกแปลกใจมากที่ไม่มี พวกนกมาร้องอวยพรเหมือนเดิม เพราะถูกพวกแร้งจับไปหมด บนท้องฟ้ามีแต่อีแร้งบินวนเวียน คืนส่งตัว เจ้าหญิง เมื่อเข้าห้องบรรทม เจ้าหญิงกลับเหม็นกลิ่นตัวอุษณะอย่างแรงจนเข้าใกล้ไม่ได้ อุษณะพยายามให้พวกแร้งเอาน้ำหอมมาราดตัวก็ช่วยไม่ได้  อุษณะเข้าใกล้เจ้าหญิงไม่ได้ ก็ทนไม่ไหว เลยคิดอุบายหลอกพาเจ้าหญิงไปที่เมืองแร้งของตน
 
     ตอน 7
     อุษณะไปขอท้าวสันณุราชว่าจะพาเจ้าหญิงพิกุลทองไปหาเสด็จพ่อเสด็จแม่ ท้าวสุณนุราชจำต้องยอมให้ไป ท้าวสัณนุราชจัดเรือพระที่นั่งให้ โดยให้พวกทหารและนางสนมตามไปด้วย ขณะที่เจ้ากาหาทางหนีพวกแร้งที่คุมอยู่ได้ พวกนกต่างขอให้กาไปช่วยเจ้าหญิง พร้อมทั้งสัญญาว่ากลับมาจะให้เป็นนักร้องนำวง เจ้าการีบหนีพวกแร้งออกมาได้ แต่ไม่ทัน แต่น่าเสียดายที่เรือออกไปแล้ว เรือออกเดินทางไปยังเมืองแร้ง โดยมีทหารและข้าราชบริพารเมืองสัณนุราชตามเสด็จ อับสร และสร้อยทองบอกว่า อุษณะท่าทางไม่น่าไว้ใจ เจ้าหญิงรู้สึกกลัว จึงขอให้แม่ย่านางของเรือช่วยปกปักคุ้มครอง ขณะที่เจ้ากาก็บินตามเรือจนหมดแรง เห็นหมาเน่าลอยน้ำเลยไปเกาะ แต่กลายเป็นเจ้าหมาไน เกือบถูกงับ เรือมาถึงเขตเขาเนินทะกา และเนินปักษี อันเป็นที่อยู่ของพวกแร้ง อุษณะเห็นว่ามีทหารมาด้วย จึงบอกให้เจ้าหญิงและผู้ติดตามรอที่เรือก่อน ส่วนตัวเองจะไปบอกชาวเมืองให้เตรียมการต้อนรับ ขณะที่เจ้าหญิงและบริวารรออยู่ที่เรือ อุษณะก็ไปสั่งให้ทหารแร้งจับคนกินให้หมด เหลือเจ้าหญิงพิกุลทองไว้คนเดียว
 
   ตอน 8
    เจ้ากาบินมาทัน ร้องเตือนเจ้าหญิง แต่พวกทหารไม่รู้ พากันไล่กาออกไป อยู่ดี ๆ ท้องฟ้ามืดมิด ฝูง แร้งมาโจมตีเรือของเจ้าหญิง พวกแร้งบุกโจมตีเรือ เจ้าหญิงเข้าไปหลบซ่อนในเสากระโดงเรือ พญาแร้งบินหาเจ้าหญิง แต่ไม่พบ โกรธบรรดาลูกสมุน หาว่าขัดคำสั่งจับเจ้าหญิงพิกุลทองไปกิน พวกลูกสมุนปฎิเสธ แล้วพากันออกไปตามหาเจ้าหญิง
 
    พวกแร้งกลัวว่าเจ้าหญิงจะซ่อนในเรือ เลยทำให้เรือรั่วจะจม เจ้าหญิงเห็นเจ้ากา เลยใช้วาจาพิกุลทองขอให้เจ้ากาช่วยล่อพวกแร้งไป  กาบินออกมาล่อพวกแร้ง ขณะที่เจ้าหญิงหนีจากเรือไปซ่อนในถ้ำบนเกาะ เจ้าหญิงจารึกเรื่องราวของตน พร้อมทั้งนำเส้นผมใส่ผอบขอให้คนมาช่วยเหลือ
ตัดมาปัจจุบัน ณ เมืองชัยมงกุฎ ซึ่งมีพระสังข์ศิลปชัย และพระนางสุพรรณกัลยา เป็นผู้ปกครอง
พิชัยมงกุฎพระโอรส  ออกไปเดินเล่นริมทะเล เจอผอบ จึงเก็บมาโดยไม่ฟังคำทัดทานจากไอ้จ้อยมหาดเล็ก
เมื่อได้อ่านเรื่องราวและได้ดมผมหอม พระพิชัยมงกุฎก็หลงเพ้อจนไม่เป็นอันกินอันนอน ร้อนถึง พระสังข์ศิลปชัย และพระนางสุพรรณกัลยา ก็เป็นห่วง
 
     ตอน 9
     พระพิชัยมงกุฎขอออกไปตามหาเจ้าของเส้นผม พระสังข์ศิลปชัย และพระนางสุพรรณกัลยาจำต้องยอมให้ไปเพราะเป็นห่วงเจ้าชายที่ล้มป่วย เจ้าชายพิชัยมงกุฎออกเดินทางโดยสำเภาออกจากเมืองไป  ณ เกาะกาขาว อันเป็นที่อาศัยของนางยักษ์กาขาว เป็นยักษ์ที่มาอาคม   นางกาขาวดูในลูกแก้ววิเศษ เห็นเรือผ่านมา พร้อมด้วยเจ้าชายพิชัยมงกุฎ นาง ยักษ์กาขาวจึงให้สมุน เป็ดอ้วน บินไปสอดแนม เป็ดอ้วนบินไปเกาะเรือเจ้าชาย ก็รู้เรื่องที่เจ้าชายกำลังตามหาเจ้าหญิงพิกุลทอง จึงรีบไปรายงานนางกาขาว นางกาขาวอยากได้เจ้าชายเป็นชายา จึงคิดแผนการใช้แล้วจึงใช้อาคม เนรมิตพายุให้เรือเจ้าชายหลงมาเข้าฝั่ง เรือเจ้าชายถูกพายุพัดมาทางเกาะนางกาขาว จนเกยตื้น ทุกคนสลบเหมือด พระนางกาขาว ให้พวกยักษ์แปลงเป็นคนเพื่อคอยต้อนรับเจ้าชาย ส่วนตัวเอง สวมรอยเป็นเจ้าหญิงพิกุลทอง
 
     ตอน 10
    เจ้าชายฟื้นขึ้นมา ออกสำรวจเกาะ  นางกาขาวให้สมุนยักษ์เล่นละครตบตาให้เจ้าชายคิดว่านางกาขาวเป็นเจ้าหญิง พิกุลทอง เจ้าชายดีใจมากที่ได้เจอเจ้าหญิง นางพิกุลทองปลอมโกหกว่าหนีพวกแร้งมาได้จนกลับมาที่เมือง และให้ข้าราชบริพารดูแลต้อนรับเจ้าชายเป็นอย่างดี
เจ้าชายพิชัยมงกุฎหลงใหลในตัว นางพิกุลทองปลอม จึงขอแต่งงาน พิธีอภิเษกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ประชากรยักษ์มาอวยพร  เจ้าชายพิชัยมงกุฎสงสัยว่าทำไมนางพิกุลทองถึงได้มีวาจาไม่ไพเราะ และผมก็ไม่ได้หอมเหมือน ผมในผอบ นางกาขาวอ้างว่าไม่มีเวลาทำแฮร์สปา ต่อหน้าพยายามพูดไพเราะ เหล่าทหารที่ติดตามเจ้าชายมา พากันหลงสาวในเมืองโดยไม่รู้ว่าเป็นพวกยักษ์
เจ้าชายบังเอิญไปเห็นนางกาขาวตวาดลูกสมุน ชักสงสัยในตัวพิกุลทอง จึงคิดหาทางพิสูจน์
  
    ตอน 11
      ขณะเดียวกัน ที่เขาเนินทะกา สมุนแร้งพบเบาะแสเจ้าหญิงพิกุลทอง รีบเอาไปให้พญาแร้ง
พญาแร้งมาที่ถ้ำ เห็นข้าวของเจ้าหญิง จึงรู้ว่าเจ้าหญิงต้องอยู่บนเกาะแน่ ๆ ให้สมุนออกตามหา  เจ้ากาพาเจ้าหญิงหนีมาหลบในวังแร้ง เพราะคิดว่าพญาแร้งคงนึกไม่ถึง เจ้า กาบอกว่าจะไปหาคนมาช่วย แล้วบินออกไป เจ้าชายพิชัยมงกุฎ สงสัยนางพิกุลทองปลอม  จึงแอบนำเส้นผมจากผอบมาเปรียบเทียบ คิดว่าต้องเป็นตัวปลอมแน่  เจ้าชายไปบอกมหาดเล็ก ทุกคน ไม่เชื่อเพราะมัวแต่หลงสาวยักษ์ เจ้าชายเอาหลักฐานมาดู ทุกคนเริ่มไม่แน่ใจ
 
     ตอน 12
      เจ้าชายพาทหารมาแอบดูพวกนางสนมตอนดึก พบว่ากลายเป็นยักษ์หมด ทุกคนตกใจ แต่แอบไม่ให้มีพิรุธ เจ้าชายพิชัยมงกุฎให้ทหารเตรียมการหลบหนี เจ้าชายแกล้งชวนนางพิกุลทองปลอมเลี้ยงฉลองชาวเมือง แล้วให้พวกทหารใส่ยานอนหลับไว้ในอาหาร ตกดึก พวกยักษ์หลับหมด เจ้าชายกับทหารหนีออกจากเมือง เจ้าเป็ดอ้วนเห็น รีบไปบอกพระนางกาขาว   แต่บินช้าถูกพวกทหารเอาหนังสติ๊กยิงใส่   ก่อนจะหนีไป เจ้าเป็ดอ้วนฟื้น รีบไปบอกพระนางกาขาว พระนางกาขาวรีบขัดขวาง   พระนางกาขาวเสกพายุใส่เรือ พายุพัดจนเรือพังจมลงในมหาสมุทร
 
    ตอน 13
    เจ้าชายกับทหารหนีมากับเรืออีกลำ โดยใช้เรือลวงให้นางกาขาวตายใจ พวกยักษ์พากันหาศพทหาร แต่ไม่พบสักคน เมื่อหนีนางยักษ์มาได้  ไอ้จ้อยมหาดเล็กขอให้กลับเมือง แต่เจ้าชายไม่ยอมกลับเมือง คิดจะตามหาเจ้าหญิงพิกุลทองตัวจริงต่อ โดยเสี่ยงทาย พระสมุทรช่วยชี้ทางให้เจ้าชายเดินเรือไป  เรือออกเดินทางไปในทะเล   เจ้ากาบินมาเจอเรือ เลยพยายามเรียกให้ช่วย เจ้าชายเห็นการ้องผิดสังเกต รับสั่งให้ตามกาไป  กาบินนำเรือมาจนถึงเกาะเนินทะกา แต่พวกแร้งมาเจอเรือ การีบหลบ พวกแร้งไปแจ้งพญาแร้ง พญาแร้งกับพิศนุปักษี เลยแปลงเป็นคน แล้วออกมาต้อนรับเจ้าชาย เจ้ากาบินไปบอกเจ้าหญิงว่ามีคนมาช่วย เจ้าหญิงดีใจคิดว่าต้องเป็นผู้ที่ได้อ่านจดหมายในผอบแน่ ๆ
 
     ตอน 14
      เจ้าชายมา พญาแร้งชวนให้พักก่อน เจ้าชายงงว่าที่เมืองนี้มีแต่ อุษณะกับขันทีเท่านั้น แถมมีแร้งบินวนเวียนทั้งเมือง เจ้าชายเอาจดหมายให้ดู อุษณะรู้ว่าเจ้าหญิงที่แอบอยู่บนเกาะเขียนไปให้เลยคิดจะใช้เจ้าชายล่อเจ้า หญิงออกมา  
     เจ้าหญิงพิกุลทอง เห็นเจ้าชายอยู่กับพญาแร้ง ก็ไม่กล้าเข้าไปหา แอบอยู่ใกล้ๆ เจ้าชายเมื่อหาเจ้าหญิงพิกุลทองไม่พบจึงกลับไป เจ้าชายเจอพิกุลทองตกอยู่ ก็จำได้ รีบตะโกนหาเจ้าหญิงพิกุลทอง โดยไม่รู้ว่าพวกแร้งแอบสะกดรอยตามอยู เจ้ากาเห็นเข้ารีบไปเตือนเจ้าหญิง เจ้าหญิงไม่กล้าออกมา เจ้าชายได้กลิ่นผมหอมคิดว่าเจ้าหญิงต้องอยู่แถว ๆนี้แน่  อุษณะให้พวกแร้งคอยเฝ้าเจ้าชายกับพวกทหารไว้ให้ดี  คืนนั้น อุษณะให้เจ้าชายกับทหารพักค้างคืนที่ห้องผา เจ้าชายมองลงมาเห็นพิกุลทองลอย ออกมาจากป่า เจ้าชายรู้สึกผิดสังเกต เมื่อเห็นพวกแร้งคิดว่าต้องไม่ใช่แร้งธรรมดาแน่ๆ  เพราะทุกตัวมักจะแอบหันมามองเจ้าชายตลอดเวลา พอพวกแร้งที่เกาะอยู่เผลอ เจ้าชายก็หนีออกมาเจ้าชายกับเจ้าหญิงพิกุลทองได้พบกันในที่สุด เจ้าชายสัญญาว่าจะช่วยเจ้าหญิงออกไปจากเกาะให้ได้  
 
     ตอน 15
     สมุนแร้งบอกว่าเจ้าชายหายไปจากห้องบรรทม  พญาแร้งรีบบินมาหาเจ้าชาย แต่เจ้าชายรู้ตัว รีบให้เจ้าหญิงซ่อนไว้ อุษณะมาหา เจ้าชายโกหกว่านอนไม่หลับ เลยออกมาเดินเล่น และพยายามไม่ให้มีพิรุธ เจ้าหญิงกลับไปยังถ้ำรออย่างมีความหวังว่าเจ้าชายจะมาช่วย  วันรุ่งขึ้น เจ้าชายแกล้งทำเป็นเลิกตามหาเจ้าหญิง แล้วขอตัวกลับ ระหว่างนั้น พวกทหารพาเจ้าหญิงมาแอบซ่อนไว้ในเรือ แต่สมุนแร้งเห็นเข้าพอดี เลยไปบอกพญาแร้ง ขณะที่เรือกำลังจะออก พญาแร้งสั่งสมุนบุกเรือ เจ้าชายรอรับมืออยู่แล้ว สงครามระหว่างเจ้าชายกับพวกแร้งจึงเริ่มขึ้น
 
     ตอน 16
     เจ้าชายให้ทหารตลบหลังพวกแร้ง จัดการยึดวัง แล้วสู้จนพวกแร้งหนีไปหมด พญาแร้งบาดเจ็บคิดจะกลับมาแก้แค้นเจ้าชายให้ได้ เจ้าชายพาเจ้าหญิงพิกุลทองกลับเมืองและไปสู่ขอท้าวสันนุราช ที่เมืองสันนุราช เจ้าหญิงได้รับการต้อนรับอย่างดี เจ้ากากลับมาอย่างวีรบุรุษ พวกนกพากันต้อนรับไม่รังเกียจเจ้ากาอีกต่อไป ฝ่ายพญาแร้งที่บาดเจ็บก็คิดอาฆาต จึงให้สมุนออกตามหาเจ้าชายและเจ้าหญิงพิกุลทอง พวกลูกสมุนบินตามไปหาที่เมืองสัณนุราช ก็ได้พบเจ้าหญิงพิกุลทองขณะ กำลังทำพิธีเฉลิมฉลอง พวกแร้งไปรายงาน พญาแร้งให้รอก่อน แล้วหาทางกำจัดเจ้าชายพิชัยมงกุฎเพื่อแย่งเจ้าหญิงพิกุลทองกลับคืนมา
 
     ตอน 17
     เจ้าชายพิชัยมงกุฎอยากพาเจ้าหญิงพิกุลทองไปให้เสด็จพ่อเสด็จแม่รู้จัก เพื่อเตรียมการอภิเษกจึงขอท้าวสัณนุราชเพื่อพาไปเมืองชัยมงกุฎ 
     ท้าวสันณุราชจัดเรือสำเภาให้เดินทาง โดยมีพวกนกตามไปอวยพรและร่วมพิธีอภิเษกด้วย แต่ ไม่มีใครรู้ว่าพวกแร้งได้แอบสะกดรอยตามไปด้วยตลอดเวลา พวกแร้งไปรายงานพญาแร้ง พญาแร้งรู้ว่าจะมีการอภิเษก จึงคิดหาทางแก้แค้นเจ้าชาย รอให้เจ้าชายกับเจ้าหญิงไปถึงเมืองก่อน ฝ่ายนางยักษ์กาขาว พอเจ้าชายหนีไปก็ให้สมุนออกติดตามหา จนได้ข่าวงานอภิเษกของเจ้าชายพิชัย มงกุฎ ก็แค้นมาก เตรียมวางแผนไปแย่งชิงตัวเจ้าชายมา โดยไม่สนใจคำเตือนของ นางยักษ์กาสุรัตน์ ผู้เป็นพี่สาวที่ไม่ให้ยุ่งกับมนุษย์ เจ้าเป็ดอ้วนมาสอดแนมบนเรือ แล้วมาตีสนิทกับพวกนก ด้วยการทำตัวใสซื่อ และเล่าเรื่องตลกให้ฟัง จนพวกนกทุกตัวตายใจและหลงชอบเจ้าเป็ดอ้วนสมุนนางกา ขาว สร้างความไม่พอใจให้เจ้ากาดำมาก  ที่เมืองชัยมงกุฎ ทุกคนกำลังเตรียมพิธีอภิเษก โดยไม่รู้ว่าพวกนางยักษ์กาขาวกำลังมา โดยเจ้าเป็ดอ้วนคอยรายงานทุกอย่างให้พวกยักษ์รู้ด้วยการส่งสัญญาณ
 
     ตอน 18
     เจ้ากามาเห็นเจ้าเป็ดอ้วนแอบหายไปผิดสังเกต จึงสะกดรอยไปเห็นกำลังแอบส่งสัญญาณติดต่อนางยักษ์กาขาวอยู่ ก็ตกใจ บอกว่าจะไปบอกความจริงให้ทุกคนรู้ เจ้าเป็ดอ้วนบอกว่าจ้างก็ไม่มีใครเชื่อ  เจ้าเป็ดอ้วนจัดการไปใส่ร้ายเจ้ากาดำ หาว่าเจ้ากาดำอิจฉา เลยชอบมากลั่นแกล้ง พอกาดำมาบอกทุกคนเลยไม่เชื่อ แถมพวกนกยังไปเห็นเจ้ากาดำทำร้ายเจ้าเป็ดอ้วนที่น่าสงสารอีก ทุกตัวเลยเฉดหัวกาดำไป  เจ้ากาดำงอน เลยบินหนีไปอย่างเศร้า ๆ แต่มันบังเอิญไปพบสมุนแร้งที่แอบมาสอดแนม เจ้ากาดำตกใจมากที่รู้ว่าพวกแร้งกำลังจะมาที่เมืองนี้ พิธีอภิเษกกำลังจะเริ่มขึ้นในวันรุ่งขึ้น    พระนางกาขาวแปลงร่าง บินมาที่เมืองชัยมงกุฎ หวังทำลายพิธีอภิเษกและแย่งเจ้าชาย ขณะที่ฝูงแร้งก็เตรียมบุกเมืองชัยมงกุฎเช่นเดียวกัน เพื่อแย่งชิงเจ้าหญิงพิกุลทอง
 
     ตอน 19
     เจ้ากาดำบินมาบอกนกทุกตัว แต่ไม่มีใครเชื่อ ทุกตัวต่างพากันเตรียมร้องเพลงอวยพรเจ้าหญิง เจ้าเป็ดอ้วนรู้ว่าพวกแร้งจะมา รีบรายงานให้พระนางกาขาว พระนางกาขาวบอกว่าจะต้องกำจัดเจ้าหญิงพิกุลทองให้ได้ ก่อนที่พวกแร้งจะมา และจะได้โอกาสใช้พวกแร้งเป็นเครื่องมือ
ขณะที่พวกนกเตรียมร้องเพลงอวยพรพิธีอภิเษกให้เจ้าหญิงพิกุลทอง เจ้า หงส์หยกเริ่มสงสัยว่าเจ้ากาอาจจะพูดจริง เพื่อความปลอดภัย พวกนกเลยจะคอยอารักขาเจ้าหญิงพิกุลทองก่อนวันอภิเษก เจ้าเป็ดอ้วนอาสาช่วย อารักขา โดยมีแผนร้ายอยู่ในใจ ตอนกลางคืน ก่อนวันอภิเษก ขณะที่เจ้าหญิงกำลังสวีทกับเจ้าชาย นางกาขาวก็มาถึง และคิดแผนการร้ายกำจัดเจ้าหญิงพิกุลทอง
วันรุ่งขึ้น เจ้าหญิงออกไปชมสวน โดยมีพวกนกคอยดูแล เจ้าหญิงออกไปเก็บบัว เจ้าเป็ดอ้วนถือโอกาสดึงความสนใจพวกนกไปทางอื่น โดยการหลอกว่าพวกแร้งมา   พอเจ้าหญิงเผลอ นางกาขาวซึ่งซ่อนอยู่ใต้น้ำก็ดึงเจ้าหญิงจมลงไปในน้ำ พวกนกตกใจที่กลับมา เจ้าหญิงหายไปแล้ว
 
     ตอน 20
     นางกาขาวเสกเจ้าหญิงพิกุลทองให้กลายเป็นชะนี ส่วนตัวเอง แปลงเป็นเจ้าหญิงพิกุลทองขึ้นมาจากน้ำ  เจ้ากาบินมาจำได้ว่าไม่ใช่พิกุลทอง แต่ถูกเจ้าเป็ดกับพวกนกไล่ไป  เจ้ากาบินไปบอกเจ้าชาย แต่อยู่ดี ๆพวกแร้งก็บุก เจ้าชายสั่งให้ทหารรับมือกับการบุกของพวกแร้งแล้ววิ่งตามหาเจ้าหญิงพิกุลทอง เจ้าชายมาที่สระบัว นางกาขาวได้แปลงเป็นพิกุลทองแล้ว เจ้ากาพยายามบอก แต่ถูกพวกนกไล่ไปหาว่าเจ้ากามากลั่นแกล้งเจ้าหญิง เจ้าเป็ดอ้วนให้พวกนกเอาเชือกมัดปาก เจ้ากาเลยร้องไม่ได้ พวกทหารไล่พวกแร้งไปหมด พญาแร้งสั่งให้สมุนออกตามหาเจ้าหญิงพิกุลทอง
 
     ตอน 21
     ฝ่ายเจ้าหญิง เมื่อเป็นชะนีก็หนีไปอยู่ในป่า เจ้ากาออกตามหา จำได้ว่าเป็นเจ้าหญิงพิกุลทอง เจ้ากาบอกเจ้าหญิงว่าจะหาทางทำให้เจ้าหญิงกลับกลายเป็นคน และเปิดโปงนางยักษ์กาขาวที่ปลอมตัวเป็นเจ้าหญิง พญาแร้ง ออกตามหาเจ้า หญิง พอเจอเจ้าหญิงปลอมก็รู้ อุษณะถามหาเจ้าหญิง มิฉะนั้นจะบอกความจริงให้เจ้าชายรู้ นางกาขาวบอกว่าเสกให้กลายเป็นชะนี แล้ว ถ้าอยากได้ต้องไปหามา แล้วจะเสกคืนให้ อุษณะสั่งให้พวกแร้งตามหาชะนีในป่าที่มีพิกุลทองในปาก พวกสัตว์ป่าเห็นชะนีมีพิกุลทอง ก็สนใจ ชะนีเล่าเรื่องของตนให้สัตว์ป่าฟัง ทุกตัวรับปากจะช่วย เจ้ากาบินออกไปหาทางช่วย แต่ถูกพวกแร้งจับตัวไว้
 
     ตอน 22
     อุษณะถามหาชะนี เจ้ากาโกหกว่าเจ้าหญิงถูกนางยักษ์กาขาวฆ่าตายแล้ว อุษณะไม่เชื่อ แต่ก็แกล้งปล่อยเจ้ากาไปเพื่อหวังหลอกให้ไปหาเจ้าหญิงพิกุลทอง เจ้ากาบินหาเจ้าหญิงโดยตามกลิ่นพิกุลทอง พอรู้ว่ามีแร้งติดตามก็หาจังหวะหลบมาได้ กาไปหาเจ้าหญิง และเล่าเรื่องที่พญาแร้งตามหาตัว รวมถึงเรื่องพระนางกาขาวที่ใช้เสน่ห์อาคมหลอกจนเจ้าชายพิชัยมงกุฎหลงเชื่อไป หมด   พวกสัตว์บอกว่ามีฤาษีอาศัยอยู่ในป่า เจ้าการับปากจะไปหาให้ช่วยเหลือ
เจ้ากาบินมาเจอฤาษีที่รับจ๊อบเปิดสปา สอนโยคะ จึงขอให้ช่วยเจ้าหญิงพิกุลทอง ฤาษี ติดจ๊อบไปดูให้ไม่ได้จึง บอกให้นำเลือดนางยักษ์กาขาวมาชโลมตัวแล้วจะหาย เจ้ากาขอของวิเศษและขู่ว่าถ้าไม่ให้จะบอกเรื่องรับจ๊อบ ฤาษีจึงติดเทอร์โบ ให้เจ้ากาใช้บินหนีพวกแร้ง และให้เจ้ากาสามารถพูดคุยกับคนได้ กาบินมาจะไปบอกเจ้าหญิง พวกแร้งบินมาดัก
 
     ตอน 23
     พวกแร้งไล่ตามเจ้ากา เจ้ากาดำใช้เทอร์โบที่ฤาษีให้บินหนี ไปได้ พวกนกเห็นว่าเจ้าหญิงพิกุลทองเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม และเริ่มสงสัยเจ้าเป็ดอ้วน เจ้ากาวางแผนให้เจ้าเป็ดอ้วนเผยตัวที่แท้จริง โดยหลอกให้พูดความจริงออกมา เจ้าเป็ดอ้วนเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของมัน เจ้า เป็ดอ้วนบอกว่าเจ้าชายอยู่ในกำมือนางยักษ์กาขาวแล้ว พวกนกช่วยอะไรไม่ได้ พวกนกรู้ความจริง พยายามบอกเจ้าชายแต่เจ้าหญิงพิกุลทองปลอมสั่งให้ทหารไล่นกไป
 
     ตอน 24
     ฝ่ายเจ้าชาย ก็เริ่มสงสัยนางพิกุลทอง เพราะนอกจากจะพูดจาไม่ไพเราะเหมือนเดิมแล้ว พิกุลทองที่ออกจากปากก็ไม่เหมือนของจริง  แถมคำพูดบางอย่างทำให้นึกถึงนางยักษ์บนเกาะที่เคยหลอกว่าเป็นเจ้าหญิงพิกุล ทองด้วย พวกนกที่เคยวนเวียน ยังไม่เข้าใกล้ ได้แต่วนเวียนส่งเสียงร้องผิดสังเกต เจ้าชายต้องการพิสูจน์ จึงออกอุบายว่าจะไปคล้องช้างเผือกในป่า เจ้ากามาหาพวกนก บอกว่าเจ้าหญิงพิกุลทองเป็นชะนี พวกนกพากันบินไปหาเจ้าหญิง พวกนกบอกเจ้าหญิงที่เป็นชะนีว่าบอกว่านางกาขาวกับเจ้าชายมาในป่า เจ้ากาบอกว่าต้องนำเลือดนางกาขาวมาชโลมร่าง แล้วเจ้าหญิงจะกลับเป็นคนเหมือนเดิม แต่ทุกคนไม่รู้ว่าจะทำยังไง
 
     ตอน 25
     ขณะที่พวกแร้งออกตามหาชะนี ที่เป็นเจ้าหญิง เจ้าหญิงต้องคอยหลบ โดยให้เพื่อนชะนีช่วยแกล้งเอาพิกุลทองใส่ปาก เพื่อหลอกพวกแร้ง พวกแร้งจับชะนีผิดตัวไป พวกนกหาทางบอกความจริงให้เจ้าชายรู้ แต่ถูกเจ้าเป็ดอ้วนขัดขวาง ไม่ ให้เข้าใกล้ พวกนกเลยเก็บพิกุลทองที่ร่วงจากปากชะนี โปรยตามทางไปหาเจ้าหญิง เจ้าชายเห็นพิกุลทองก็จำกลิ่นได้ แต่ก็พยายามไม่มีพิรุธให้นางกาขาวรู้ พอตกดึก เจ้าชายก็แอบหลบนางกาขาว ตามดอกพิกุลทองไป โดยหารู้ไม่ว่าเจ้าเป็ดอ้วนแอบตื่นขึ้นมาเห็น
เจ้าชายตามไปจนพบชะนี เจ้าชายจำได้ว่าคือเจ้าหญิงพิกุลทอง เจ้ากาบอกว่าให้นำเลือดนางกาขาวมาชโลมตัวชะนี   เจ้าชายสัญญาว่าจะช่วย แล้วกลับไปหานางกาขาว ทำทีว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พญาแร้งโกรธมากที่รู้ว่าชะนีที่จับมาเป็นตัวปลอม จึงบังคับจนต้องบอกที่อยู่เจ้าหญิง พวกแร้งพากันบินออกไปในป่าเพื่อจับตัวชะนีที่เป็นเจ้าหญิงตัวจริง
 
     ตอน 26
      เจ้าชายพิชัยมงกุฎเตรียมจัดการนางกาขาว โดยรอให้นางหลับ ส่วนพวกนกช่วยกันจับเจ้าเป็ดปากมากมัดปากไว้ไม่ให้ส่งเสียง แต่ขณะที่เจ้า ชายจะฆ่านางกาขาว พวกแร้งบุกมาพอดี
พวกนกรีบพาเจ้าหญิงพญาแร้ง   นางกาขาวตกใจตื่นขึ้นมา พอรู้ว่าเจ้าชายรู้เรื่องแล้ว จึงแปลงเป็นนางยักษ์ ต่อสู้กับเจ้าชาย นางยักษ์เสียท่าถูกเจ้าชายฆ่าตาย เลือดไหลลงมาในลำธารจนเป็นสีแดง
เจ้าชายรีบตามหาชะนี พิกุลทอง เพื่อพามาชโลมเลือดนางกาขาว พวกนกหลอกล่อพวกแร้ง ไว้ส่วน เจ้าชายรีบพาชะนี ไปหาร่างนางยักษ์ก่อนที่เลือดจะไหลจนหมด 
     เจ้าชายพาชะนีหนีมาหาร่างนางยักษ์แต่สายไปเสียแล้ว พวกแร้งหิวโซกำลังรุมทึ้งซากนางยักษ์ พอเจอเจ้าชายมากับชะนี พวกมันจึงบินเข้ามาหวังทำร้าย เจ้าชายรีบหนีไปจนมุมที่หน้าผา เจ้าชายกับชะนีกระโดดลงไปในลำธารข่างล่างที่น้ำเป็นสีแดงเพราะเลือดนางกาขาว เจ้าชายโผล่มาจากน้ำ เห็นพิกุลทองลอยขึ้นมาจากน้ำ พร้อมด้วยเจ้าหญิงพิกุลทอง
 
     ตอน 27
     เจ้าชายดีใจที่ได้เจอนางพิกุลทองอีกครั้ง รีบพากับวัง ส่วนพวกแร้ง ถูกพวกนกรวมกำลังกันต่อสู้ ล่าถอยหนีไปหมด เจ้าชายพิชัยมงกุฎพาเจ้าหญิงกลับวัง อย่างมีความสุข ทุกคนคิดว่าเรื่องร้ายๆ หมดไปแล้ว พวกนกพากันกลับเมืองสัณนุราช เหลือแต่เจ้ากาที่อยู่คอยดูแลเจ้าหญิง ฝ่ายนางยักษ์กาสุรัตน์ผู้เป็นน้องสาว เมื่อรู้ว่านางกาขาวถูกฆ่าตายก็เกิดความแค้น คิดหาทางแก้แค้นให้พี่สาว โดยมีเจ้าเป็ดอ้วนคอยยุยง  เมื่อเจ้าหญิงพิกุลทองชวนเจ้าชายพิชัยมงกุฎกลับไปเยี่ยมพระบิดามารดาโดย เรือสำเภา นายยักษ์กาสุรัตน์จึงมาดักเล่นงานจนเรือสำเภาแตก ทั้งสองถูกคลื่นซักแยกไปคนละทาง พระสมุทรสงสารเจ้าหญิง จึงเนรมิตขอนไม้ให้เจ้าหญิงพิกุลทองเกาะจนลอยไปถึงฝั่ง
 
     ตอน 28
     เจ้าหญิงลอยมาถึงฝั่งอันเป็นเมืองยักษ์ พญายักษ์วิรุณจักรมาพบเข้าก็ถูกใจ พยายามเกี้ยวพาราสี โดยไม่สนใจว่าเจ้าหญิงพิกุลทองมีสามีแล้ว พญายักษ์โกรธมากจึงจับให้ไปเป็นคน รับใช้ในครัวหวังให้เปลี่ยนใจในภายหลัง เจ้ากาบินไปบอกพวกนก ทุกคนช่วยกันส่งข่าวบินออกตามหาเจ้าหญิงพิกุลทอง ฝ่ายเจ้าชายพิชัยมงกุฎ ได้ออกตามหาเจ้าหญิงพิกุลทอง จนมาพบอาศรมฤาษี ฤาษีนั่งทางในบอกว่าถูกพญายักษ์จับตัวไว้ ถ้าจะปราบยักษ์ได้ต้องเรียนวิชา แล้วฤาษีก็สอนมนต์วิเศษให้เจ้าชายเหาะเหินเดินอากาศได้ เจ้าชายเดินทางเพื่อแย่งชิงตัวเจ้าหญิงพิกุลทองกลับคืนมา พญายักษ์รู้เข้าจึงสั่งให้ ยักษ์ กุมกัณฑสูรไปขัดขวาง
 
     ตอน 29
     เจ้าชายต่อสู้กับยักษ์ และใช้วิชาที่เรียนจากฤาษีฆ่ายักษ์ตาย พญา ยักษ์ จัดการสั่งพวกยักษ์ บุกเมืองเจ้าชาย  พวกนกบินตามหาเจ้าหญิงพิกุลทอง แต่ไปเจอพญาแร้ง พญาแร้งจับเจ้าหงส์หยกไว้เป็นตัวประกันเพื่อแลกตัวกับเจ้าหญิงพิกุลทอง เจ้า กาบอกว่าเจ้าหญิงตกอยู่ในอันตรายถูกพวกยักษ์จับตัวไว้   แต่พวกแร้งไม่เชื่อ และจะฆ่าเจ้าหงส์หยก ถ้าไม่นำตัวเจ้าหญิงมา เจ้ากาบินออกตามหาเจ้าหญิงอย่างไร้จุดหมาย จนไปเจอเจ้าหญิงพิกุลทอง แต่ช่วยอะไรไม่ได้  เจ้ากาบินไปหาพวกแร้ง ขอให้พวกแร้งช่วยเจ้าหญิงออกมา ยอมบอกที่อยู่เจ้าหญิงพิกุลทอง และขอให้พญาแร้งช่วย เพราะยังดีกว่าอยู่กับพวกยักษ์
 
     ตอน 30
     พวกแร้งยอมไปช่วยพิกุลทองจนออกมาได้ แต่เจ้าหญิงพอรู้ว่าพวกยักษ์กำลังบุกเมืองมนุษย์กลับไม่ยอมหนีไปกับพวกแร้ง แล้วบอกให้พวกนกไปตามฤาษีมา พวกยักษ์บุกเมืองมนุษย์ เจ้าหญิงพิกุลทองกลับไปหาพญายักษ์วิรุณจักร เพื่อเจรจายุติศึก พญายักษ์ไม่ยอมฟังวาจาพิกุลทอง แถมนางยักษ์กาสุรัตน์ยังมาหา บอกว่าให้ทำลายพวกมนุษย์ที่มาฆ่าพวกยักษ์  เจ้าหญิงพิกุลทองไปปลอบนางยักษ์ กาสุรัตน์ที่ต้องสูญเสียพี่สาวไป นางยักษ์พยายามไม่หลงลมปากพิกุลทอง แต่เจ้าหญิงพูดด้วยความจริงใจ นางยักษ์กาสุรัตน์เริ่มคิดได้ว่านางยักษ์กา ขาวต่างหากที่ไปแย่งชิงเจ้าชายมา
นางยักษ์กาสุรัตน์ขอให้พญายักษ์วิรุณจักรยุติศึกกับพวกมนุษย์ก่อนที่ ทุกอย่างจะสายไป พวกแร้งกับนกร่วมมือกันไปห้ามพวกยักษ์ แต่ไม่มีใครเชื่อ ฤาษีตามมาทัน และเสกให้ทุกคนพูดจาไพเราะ แล้วมีพิกุลทองออกมา ทุกคนพูดจาดี ๆ ต่อกัน ดอกพิกุลทองลอยมาเต็มไปหมด เมื่อทุกคนต่างพูดจาดีต่อกัน สงครามก็ยุติ เจ้าหญิงพิกุลทองได้ครองรักกับเจ้าชายพิชัยมงกุฎอย่างมีความสุขตั้งแต่นั้น มา
 

พระมหาเวสสันดร

พระมหาเวสสันดร


พระเวสสันดรฉบับนี้ ผู้เขียนได้บอกในตอนท้ายว่าได้เขียนตั้งแต่ต้นคือ กัณฑ์ทศพร จนถึงกัณฑ์นครกัณฑ์ ทั้งหมดสิบสามกัณฑ์ แต่ที่พบมีเพียงกัณฑ์วนปเวสน์จนถึงกัณฑ์นครกัณฑ์เท่านั้นรวมสิบกัณฑ์ และเขียนด้วยฉันท์ และกาพย์ ที่มา : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

 . พระเวสสันดร ..

    มหาเวสสันดรชาดร เป็น เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาที่คนไทยรู้จักตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่ไม่มีหลักฐานปรากฎ ต่อมาเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาได้มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร โดยภูมิปัญญาของนักปราชญ์ราชบัณฑิตและบรรพบุรุษ ปัจจุบันมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้รู้ได้แต่งตำราพระเวสสันดรชาดรไว้หลายรูปแบบ ด้วยกัน เช่น โคลงฉันท์ กาพย์ ร่าย กลอนแหล่ และเล่าเป็นนิทาน
ตำนานพระเวสสันดรชาดร


    พระเวสสันดร คือ พระโพธิสัตว์คราวที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร ได้บำเพ็ญบารมีอย่างสูงสุด ยากเกินกว่าผู้ใดจะทำได้ คือ พระราชทานบุตรและภรรยาแก่ผู้ที่มาขอนอกจากนั้นยังบำเพ็ญบารมีอันยิ่งใหญ่ อื่นๆ ครบถ้วนทั้ง 10 ประการ หรือเรียกว่า “มหาชาติ” พระเวสสันดรชาดรเป็นหนังสือเรื่องยาว 13 ผูก ผูกหนึ่งอาจแบ่งเป็นหลายกัณฑ์ ในที่นี้จะยกตำนานพระเวสสันดรบางกัณฑ์ที่สำคัญมานำเสนอคือ “ทานกัณฑ์” เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรถูกขับออกจากเมืองสีวี หรือบางตำราเรียก “ สีพี ”

    ประวัติความเป็นมา

   ด้วยพระเวสสันดรทรงมีพระทัยฝักใฝ่ในการบริจาคตั้งแต่ทรงเจริญวัย ทรงขอให้พระบิดาตั้งโรงทานเพื่อบริจาคข้าวปลาอาหารและสิ่งของจำเป็นแก่ ประชาชน และหากมีผู้มาทูลขอสิ่งใดจากพระองค์ ก็จะทรงบริจาคให้โดยมิได้เสียดาย ด้วยทรงเห็นว่าการบริจาคทานนั้นเป็นกุศลและประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ทั้งผู้ รับและผู้ให้ คือผู้รับก็จะพ้นความเดือดร้อน ผู้ให้ก็จะอิ่มเอิบเป็นสุข พระเกียรติคุณของพระเวสสันดรเลื่องลือไปทั่วว่า ทรงมีจิตเมตตาต่อผู้อื่น โดยมิได้เห็นแก่ความสุขสบายและทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์

   ต่อมาเมื่อชาวเมืองกลิงคราษฎร์เกิดข้าวยากหมากแพง เพาะปลูกไม่ได้ผล ราษฎรอดอยากได้รับความเดือดร้อน จึงทูลพระราชาของตนว่าที่แคว้นสีวี มีช้างเผือกคู่บุญพระเวสสันดรชื่อช้างปัจจัยนาค เป็นช้างเผือกเพศผู้ มีอำนาจพิเศษ คือ ถ้าอยู่ที่เมืองใดจะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ขอให้ส่งทูตไปขอช้างจากพระเวสสันดร ดังนั้นพระเจ้ากลิงคราษฎร์จึงส่งพราหมณ์แปดคนไปแคว้นสีวี


    เมื่อพบพระเวสสันดรประทับบนหลังช้างปัจจัยนาค พราหมณ์จึงทูลขอช้างเพื่อดับทุกข์ชาวกลิงคราษฎร์ พระเวสสันดรก็ประทานตามที่ขอ เมื่อชาวมืองสีวีเห็นดังนั้นก็ไม่พอใจ พากันโกรธเคืองว่าต่อไปบ้านเมืองจะลำบาก เพราะไม่มีช้างปัจจัยนาคเสียแล้วพากันไปทูลพระเจ้าสัญชัยให้ขับพระเวสสันดร ออกจากเมืองไป พระเจ้าสัญชัยไม่อาจขัดราษฎรได้จึงมีพระราชโองการให้ขับพระเวสสันดรออกจาก เมืองสีวี พระเวสสันดรไม่ทรงขัดข้อง แต่ได้ทูลขอบริจาคทานครั้งยิ่งใหญ่ก่อนเสด็จออกจากเมือง โดยบริจาค “สัตตสดกมหาทาน” คือบริจาคทานเจ็ดสิ่ง สิ่งละเจ็ดร้อย แก่ประชาชนชาวเมืองสีวี เมื่อพระนางมัทรี พระมเหสีทรงทราบก็ขอติดตามออกไปด้วยพร้อมทั้งพระโอรสธิดา กัณหาชาลี ครั้นพระนางผุสดี พระมารดาไปทูลขอพระเจ้าสัญชัย ให้อภัยโทษแก่พระเวสสันดร พระเจ้าสัญชัยตรัสว่า “บ้านเมืองจะเป็นสุขได้ ก็เมื่อราษฎรเป็นสุข พระราชาจะเป็นสุขได้ ก็เมื่อราษฎรเป็นสุข ถ้าราษฎรมีความทุกข์ พระราชาจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร แม้พระเวสสันดรจะเป็นลูกของเราก็ตาม” ในที่สุดพระเวสสันดรและพระมเหสี พร้อมด้วยพระโอรส ธิดา ก็เสด็จออกจากเมืองไป ขณะที่เดินทางก็มีพราหมณ์มาดักเฝ้าขอม้าและราชรถที่ประทับ ก็โปรดประทานโดยมิได้ขัด จากนั้นทุกพระองค์ก็เสด็จโดยพระบาทต่อไปยังเขาวงกต เมื่อถึงบริเวณสระโบกขรณีอันเป็นที่ร่มรื่น ทุกพระองค์ก็ทรงผนวชเป็นฤษี บำเพ็ญพรตภาวนา ณ ที่นั้น


ประเด็นที่น่าสนใจจากเรื่องราว


    1. ความเชื่อที่ปรากฎในตำนาน

          - เชื่อว่าพระเวสสันดร คือ พระโพธิสัตว์ที่เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร เพื่อบำเพ็ญเพียรบารมีอันยิ่งใหญ่
          - เชื่อว่าช้างปัจจัยนาค ช้างเผือกเพศผู้มีอำนาจพิเศษอยู่ที่ใดก็จะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล มีความอุดม สมบูรณ์
    2. คุณค่าของภูมิปัญญา
       2.1 ด้านศาสนา

                  - คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ในเรื่องนี้จะเห็นว่ามีศาสนาฮินดูรวมอยู่ด้วย จากข้อความ “...ส่งพราหมณ์แปดคนไปแคว้นสีวี” ส่วนภูมิปัญญาในการสืบทอดพุทธศาสนาให้มั่งคง น่าจะเป็นการเล่าเรื่องสืบ ต่อกันมาทำให้ได้รู้พระจริยวัตรขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า

       2.2 ด้านสังคม
                  - ทำให้ตระหนักถึงการให้ การเสียสละ เพื่อมุ่งหวังให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ และตัวผู้ให้เองก็จะได้รับความสุข สังคมก็ จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ไม่ขัดแย้งและชิงดีชิงเด่นกัน


แนวทางการอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญา

         พระเวสสันดร เป็นเรื่องราวที่นำเสนอในรูปแบบ ชาดก หมายถึง การที่พระพุทธเจ้าเวียนว่ายตายเกิด ถือเอากำเนิดในชาติต่างๆ บำเพ็ญเพียรบารมีก่อนจะตัรสรู้เป็นพระศาสดาของศาสนาพุทธ ดังนั้นการอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาพระเวสสันดร จึงน่าจะเป็นการสืบทอดด้วยประเพณี เช่น ประเพณีงานบุญพระเวส บุญเดือนสี่ หรือบุญเทศน์มหาชาติ หมายถึงบุญอันยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับพระมหาเวสสันดรชาดกนั่นเอง โดยรวมกัณฑ์ต่างๆ มาเทศน์ให้อุบาสก อุบาสิกาฟัง จากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษนี้สะท้อนให้เห็นถึงความศรัทธาอันแรงกล้าในพระพุทธ ศาสนา ที่ยึดถือปฏิบัติต่อกันมาช้านาน เกิดเป็นประเพณีที่สำคัญจนถึงปัจจุบัน

 
วรรณกรรมวรรณคดี.com © 2012 | Designed by GURU