รวมภาพนางในวรรณคดีไทย

Wednesday, November 28, 2012

ภาพนางในวรรณคดีไทยจากหลายเรื่อง
จากเรื่องกาพย์เห่ครวญ ของเจ้าฟ้ากุ้ง
นางเบญจกาย

บุษบาจากเรื่องอิเหนา
จันทวดี นางเงือก

นางกินรี
วันทอง
นางลักษณาวดี
มโนราห์
พระเพื่อนพระแพง
พินทุมวดี
 
วาสิษฐี
เบญจกายและหนุมาน
 
ศรีสุพรรณ
สร้อยฟ้า
รจนา
แม่หญิงเรไรจากขุนศึก
นางเงือกกับพระอภัยมณี

วรรณคดีไทย

วรรณคดีไทย
 
 
 
ความหมายโดยทั่วไป

            วรรณคดีหรือวรรณกรรมเป็นงาน ศิลปะ รูปแบบหนึ่งซึ่งมนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อบำรุงจิตใจให้ร่าเริงแช่มชื่น และเพื่อแสดง
ความรู้สึกนึกคิดเมื่อมีอะไรมากระทบใจ 
            วรรณคดี เป็นศัพท์ที่หมายถึง “ งานหนังสือ ” แต่มักใช้กันอย่างมีนัยของการประเมินค่าว่า “ แต่งดี ” อยู่ด้วย วรรณคดีมีคำแปลตามศัพท์ว่า“ เรื่องราว ” ( คดี) ที่สื่อด้วยตัวหนังสือ เสียง และถ้อยคำ (วรรณ)
             คำว่า วรรณคดี ปรากฏในหนังสือไทยเป็นครั้งแรกในพระราชกฤษฎีกาตั้งวรรณคดีสโมสร ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2457 แต่มิได้กำหนดว่าวรรณคดีคืออะไร เพียงแต่กำหนดหนังสือ 5 ประเภท คือ กวีนิพนธ์ ละครไทย นิทาน ละครพูด และอธิบาย ( essay)
เป็นหนังสือที่ควรพิจารณาได้รับการยกย่อง หนังสือใดจะเป็นหนังสือดีต้องมีคุณลักษณ์ ดังนี้
- เป็นเรื่องที่ดี สาธารณชนอ่านได้โดยไม่เสียประโยชน์
- ใช้วิธีเรียบเรียงอย่างใดก็ตาม แต่ต้องให้เป็นภาษาไทยอันดี
พระยาอนุมานราชธน อธิบายเพิ่มเติมว่า
“ หนังสือที่แต่งขึ้นและเขียนตีพิมพ์เป็นเรื่องแล้ว
ย่อมเรียกได้ว่าเป็นวรรณคดี แต่หนังสือที่วรรณคดีสโมส
รยกย่องสมควรได้รับประโยชน์ คือหนังสือที่มีลักษณะตาม
ที่กำหนดเงื่อนไขไว้ในพระราชกฤษฎีกานั้น ส่วนหนังสืออื่นๆ ซึ่งไม่เข้าอยู่ในข่ายแห่งข้อความในพระราชกฤษฎีกา
ก็ต้องถือว่าเป็นวรรณคดีด้วยเหมือนกัน ” ( การศึกษาวรรณคดีแง่วรรณศิลป์)

ข้อมูลภาพจาก http://www.bloggang.com/data/sdayoo/picture/1153962365.jpg

กาพย์เห่เรือ เห่ชมเครื่องคาว

Thursday, September 27, 2012

กาพย์เห่เรือ เห่ชมเครื่องคาว


กาพย์เห่เรือ พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่มา : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร



ที่มา

       กาพย์เห่เรือนี้สันนิษฐานว่าทรงพระราชนิพนธ์ เพื่อชมฝีพระหัตถ์ในการแต่งเครื่องเสวยของ
สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชิน
ผู้แต่ง
       พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2)
ลักษณะคำประพันธ์
       แต่งเหมือนกาพย์เห่เรือ ประกอบด้วยโคลงสี่สุภาพ จำนวน 1 บท และกาพย์ยานี 11
ความมุ่งหมาย
       1. เพื่อเป็นบทเห่เรือพระที่นั่งเวลาเสด็จประพาสส่วนพระองค์
       2.เพื่อชมฝีพระหัตถ์ในการปรุงเครื่องเสวยของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี
เนื้อเรื่องย่อ
       กล่าวถึงอาหารคาวทั้ง 15 ชนิด คือ แกงมัสมั่นไก่, ยำใหญ่,ตับเหล็กลวก, หมูแนม, ก้อยกุ้ง, แกงเทโพ, น้ำยา,
แกงอ่อม,ข้าวหุงเครื่องเทศ,แกงคั่วส้ม,พล่าเนื้อ,ล่าเตียง หรุ่ม, ไตปลา,แสร้งว่า และอาหารหวานอีก1 ชนิดคือ รังนก
เมื่อกล่าวถึงอาหารชนิดใด กวีจะพรรณนาเชื่อมโยงไปถึงหญิงคนรัก

ตัวอย่างกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน


กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน
       แกงไก่มัสมั่นเนื้อ             นพคุณ พี่เอย
หอมยี่หร่ารสฉุน                     เฉียบร้อน
ชายใดบริโภคภุญช์                 พิศวาส หวังนา
แรงอยากยอหัตถ์ข้อน            อกให้หวนแสวง ๚

              
               มัสมั่น หมายถึง ชื่อแกงชนิดหนึ่ง เป็นแกงเผ็ดอย่างมุสลิม ปรุงด้วยเครื่องเทศ
               นพคุณ หมายถึง นางที่รัก, น้องที่รัก
               ยี่หร่า หมายถึง ชื่อเครื่องเทศชนิดหนึ่ง กลิ่นหอมฉุน
               ภุญช์ หมายถึง กิน, รับประทาน
               ข้อนอก หมายถึง ตีอก

       แกงมัสมั่นไก่ของน้องที่รักของพี่ มีกลิ่นหอมฉุนของยี่หร่า คงมีรสร้อนแรงมากชายใดได้รับประทานเข้าไปแล้ว
จะทำให้เกิดความรักใคร่และความหวังในตัวน้องจนถึงกับเอามือทุบอกตัวเอง และอยากกลับไปรับประทานอีก

       ๏ มัสมั่นแกงแก้วตา        หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง                  แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา

       แกงมัสมั่นของน้องอันเป็นที่รักยิ่งของพี่ มีกลิ่นหอมของยี่หร่าคงมีรสร้อนแรงมาก ชายใดเมื่อได้รับประทาน
เข้าไปแล้ว จะทำให้คิดถึงแต่คนทำ


       ๏ ยำใหญ่ใส่สารพัด       วางจานจัดหลายเหลือตรา
รสดีด้วยน้ำปลา                   ญี่ปุ่นล้ำย้ำยวนใจ

ยำใหญ่ หมายถึง ชื่ออาหารยำแบบไทย ประกอบด้วย
แตงกวา ไข่ต้กุ้งต้ม หมูต้ม หนังหมู เห็ดหูหนู หัวผักกาด
ขาว ใบสะระแหน่ ใบโหระพา ปรุงให้มีรสเปรี้ยว เค็ม
หรือหวานก็ได้ เหลือตรา หมายถึง เหลือจะพรรณนา
หรือเหลือคะเนนับ


       ยำใหญ่ที่มีเครื่องครบครับ จัดวางอยู่ในจานอย่างสุดจะพรรณนาปรุงรสด้วยน้ำปลาญี่ปุ่นทำให้
น่าลิ้มลองอย่างยิ่ง

       ๏ ตับเหล็กลวกหล่อนต้ม    เจือน้ำส้มโรยพริกไทย
โอชาจะหาไหน                          ไม่มีเทียบเปรียบมือนาง

ตับเหล็ก  หมายถึง ม้ามของหมู
โอชา        หมายถึง รสอร่อย

       น้องนำตับเหล็กมาลวกแล้วใส่น้ำส้มพร้อมกับโรยพริกไทยลงไป ทำให้มีรสอร่อยมาก ไม่มีที่ไหน
นำมาเปรียบกับฝีมือของน้องได้

       ๏ หมูแนมแหลมเลิศรส      พร้อมพริกสดใบทองหลาง
พิศห่อเห็นรางชาง                    ห่างห่อหวนป่วนใจโหย

หมูแนม หมายถึง ชื่ออาหารว่างมีหลายแบบ เช่น หมูแนม
              แข็งต้องห่อหมูที่โขลกหรือบดและผสมเครื่องปรุง
              แล้วตามด้วยใบทองหลางที่ซ้อนบนใบตอง มัดแน่น
              เก็บไว้ 3 วันจึงปิ้งทั้งห่อ แกะออกมารับประทาน
              กับผักและน้ำจิ้ม
รางชาง หมายถึง สวยงาม, เด่น

       หมูแนมมีรสดีเยี่ยม พร้อมมีพริกสดกับใบทองหลางเคียง พี่มองดูห่อหมูแนมแล้วเห็นสวยงาม แต่ครั้นพอ
พี่ห่างห่อหมูแนม ทำให้หัวใจพี่ปั่นป่วนคิดถึงแต่น้องอยู่ตลอดเวลา

       ๏ ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น       วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
รสทิพย์หยิบมาโปรย               ฤๅจะเปรียบเทียบทันขวัญ

ก้อย หมายถึง อาหารจำพวกเครื่องจิ้ม ทำจากเนื้อปลา
        หรือกุ้งที่ยังดิบ รับประทานกับผักสด
ประทิ่น หมายถึง กลิ่นหอม
แด หมายถึง ใจ

       ก้อยกุ้งปรุงเสร็จแล้วกลิ่นหอมมากราวกับอาหารทิพย์ เมื่อสัมผัสลิ้นอร่อยมากจนแทบขาดใจ ฝีมือปรุงอาหาร
ของน้องจึงไม่มีใครเทียบได้

       ๏ เทโพพื้นเนื้อท้อง      เป็นมันย่องล่องลอยมัน
น่าซดรสครามครัน             ของสวรรค์เสวยรมย์

เทโพ หมายถึง ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ไม่มีเกล็ด รูปร่างคล้าย
         ปลาสวายเนื้อมีรสอร่อย มักใช้แกงคั่วส้ม ใส่ผักบุ้ง
         เรียกว่า แกงเทโพ
รสครามครัน หมายถึง รสอร่อยมาก

       แกงปลาเทโพโดยใช้เนื้อท้องที่มีมันมาแกง ดูน่าซดเสียเหลือเกิน คงมีรสอร่อยมาก เปรียบเหมือนอาหารทิพย์
ที่พึงใจ

       ๏ ความรักยักเปลี่ยนท่า        ทำน้ำยาอย่างแกงขม
กลอ่อมกล่อมเกลี้ยงกลม              ชมไม่วายคล้ายคล้ายเห็น

แกงขม หมายถึง เครื่องกินกับขนมจีนน้ำยามีมะระหั่นเป็น
            ชิ้นเล็กๆ แล้วลวกให้สุก
กล หมายถึง เหมือน
อ่อม หมายถึง ชื่อแกงชนิดหนึ่ง คล้ายแกงคั่ว แต่ใส่มะระ มัก
        ใช้แกงกับปลาดุก เรียกว่าแกงอ่อมมะระ หรือแกงอ่อม
        มะระปลาดุก
กล่อมเกลี้ยงกลม หมายถึง รสกลมกล่อม

       ด้วยความรักของน้องที่มีต่อพี่ น้องจึงเปลี่ยนมาทำ
น้ำยาอย่างแกงขม เหมือนแกงอ่อมมะระ ซึ่งมีรสกลมกล่อม
ทำให้พี่ต้องชมฝีมือของน้องขาดปาก และคลับคล้ายเห็นหน้า
น้องตลอดเวลา
มัสมั่นเนื้อวัว
ยำใหญ่
ตับเหล็ก
หมูแนม
ก้อยกุ้ง
แกงเทโพ
แกงขม
แกงอ่อม
       ๏ ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ      รสพิเศษใส่ลูกเอ็น
ใครหุงปรุงไม่เป็น                     เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ

ลูกเอ็น หมายถึง ลูกกระวาน
เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ หมายถึง เหมือนกับที่น้องตั้งใจทำ

       ข้าวหุงปรุงด้วยเครื่องเทศ มีรสพิเศษเพราะใส่ลูกกระวานลงไป ใครก็หุงไม่ได้อย่างที่น้องตั้งใจทำ

ข้าวหุง
       ๏ ช้าช้าพล่าเนื้อสด        ฟุ้งปรากฏรสหื่นหอม
คิดความยามถนอม              สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ์

พล่า หมายถึง อาหารยำที่ใช้เนื้อสดๆ ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว
        น้ำปลา พริก ตะไคร้ฝอย ใบสะระแหน่ เป็นต้น
หื่นหอม หมายถึง หอมมากจนเร้าอารมณ์
เสาวคนธ์ หมายถึง ของหอม, เครื่องหอม, กลิ่นหอม

หมูป่าต้ม
       น้องรู้เรื่องในการทำอาหารมากจริงๆ นำเอาหมูป่า
มาต้มทำแกงคั่วส้มใส่ระกำ ทำให้เห็นเค้าเงื่อนแห่งความลับ
ระหว่างพี่กับน้อง ซึ่งมีแต่ความทุกข์ระทมใจ
แกงคั่ว

       ๏ เหลือรู้หมูป่าต้ม     แกงคั่วส้มใส่ระกำ
รอยแจ้งแห่งความขำ         ช้ำทรวงเศร้าเจ้าตรากตรอม

แกงคั่วส้ม หมายถึง ชื่อแกงเผ็ด ปรุงน้ำพริกคล้ายแกงส้ม
                 แต่ใส่กะทิ
ความขำ หมายถึง ความลับ
ระกำ หมายถึง ชื่อปาล์มชนิดหนึ่ง ขึ้นเป็นกอ ก้านใบมี
         หนามแข็ง ผลออกเป็นกระปุกกินได้

       ห้องทำพล่าเนื้อสดกลิ่นหอมฟุ้งมากจนเร้าอารมณ์พี่ ทำให้คิดถึงครั้งเมื่อเราเคยทะนุถนอมรักใคร่ใกล้ชิดกัน
ด้วยความสดชื่นหอมหวน

พล่าเนื้อ
ล่าเตียง
       ๏ ล่าเตียงคิดเตียงน้อง       นอนเตียงทองทำเมืองบน
ลดหลั่นชั้นชอบกล                   ยลอยากนิทรคิดแนบนอน

ล่าเตียง หมายถึง ชื่ออาหารว่างทำด้วยไข่โรยเป็นฝอย
             บนกระทะ แล้วหุ้มใสที่ทำด้วยกุ้งสับปรุงรส
             พับห่อจัดเป็นคำๆ วางเป็นชั้นๆ
เมืองบน หมายถึง เมืองฟ้า, เมืองสวรรค์
ลดหลั่นชั้นชอบกล หมายถึง มีลวดลายเป็นชันๆ อย่างสวยงาม
นิทร หมายถึง นอน

       พอเห็นอาหารที่ชื่อว่าล่าเตียง ทำให้พี่คิดถึงเตียงนอนของน้อง ที่เป็นเตียงทองทำเหมือนอยู่บนสวรรค์
ซึ่งมีลวดลายเป็นชั้นๆ อย่างสวยงาม เห็นแล้วทำให้คิดอยากนอนกับน้อง

       ๏ เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า      รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน
เจ็บไกลในอาวรณ์                       ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง

หรุ่ม หมายถึง อาหารว่างคล้ายล่าเตียง ทำด้วยไข่โรยเป็นฝอย
        แต่ไส้ทำด้วยหมูสับ ห่อเป็นคำแต่คำใหญ่กว่าล่าเตียง
ไฟฟอน หมายถึง กองไฟที่ดับแล้วแต่ยังมีความร้อนระอุอยู่

       พอเห็นอาหารที่ชื่อว่าหรุ่ม ความเศร้าก็ประดังกันเข้ามาในอก ทำให้ร้อนระอุอยู่ในอก เป็นความเจ็บปวด
ที่ยาวนานด้วยใจคิดถึงน้อง ทำให้พี่ร้อนรุ่มกลุ้มใจ

หรุ่ม
       ๏ รังนกนึ่งน่าซด         โอชารสกว่าทั้งปวง
นกพรากจากรังรวง            เหมือนเรียมร้างห่างห้องหวน

รังนก หมายถึง รังนกนางแอ่น ทำด้วยน้ำลายนกที่ขยอกออก
          มาจากลำคอใช้นึ่งแล้วทำเป็นอาหารหวานคาวได้
เรียม หมายถึง พี่

       เห็นรังนกนึ่งช่างน่าชม และคงมีรสอร่อยกว่าอาหารอื่นๆ ทำให้พี่นึกถึงการที่นกต้องพรากจากรังไป
ซึ่งก็เหมือนกับการที่ตัวพี่ต้องพลัดพรากจากน้องไป

รังนก
       พอเห็นอาหารไตปลา และแสร้งว่า ทำให้หวนคิดถึง
คำพูดที่กระบิดกระบวนของน้อง ครั้นพอแลไปเห็นใบ
ของต้นโศกก็บอกให้พี่รู้ว่าน้องกำลังคร่ำครวญถึงพี่ทำให้
พี่เฝ้ารอคอยน้องรักของพี่อยู่ตลอดเวลา

แกงไตปลา
แสร้งว่า
       ๏ ไตปลาเสแสร้งว่า        ดุจวาจากระบิดกระบวน
ใบโศกบอกโศกครวญ            ให้พี่เคร่าเจ้าดวงใจ

ไตปลา หมายถึง เนื้อที่เป็นก้อนแข็งอยู่ในกระเพาะปลาบาง
            ชนิดเช่น ปลาทู ใช้หมักเกลือ แล้วปลุงอาหารแบบ
            เครื่องจิ้ม
แสร้งว่า หมายถึง ชื่ออาหารชนิดหนึ่ง ทำด้วยกุ้งปรุงเป็น

             เครื่องจิ้ม
เคร่า หมายถึง คอย

       ๏ ผักโฉมชื่อเพราะพร้อง    เป็นโฉมน้องฤๅโฉมไหน
ผักหวานซ่านทรวงใน              ใคร่ครวญรักผักหวานนาง ๚

ผักโฉม หมายถึง ผักกระโฉมซึ่งเป็นไม้ล้มลุก ชอบขึ้นที่ชื้น
            แฉะ ดอกเล็กๆ สีม่วงแกมชมพูกลางเหลือง ออกเป็น
            กระจุกที่ง่ามใบหรือปลายกิ่ง ทุกส่วนของไม้นี้มีกลิ่น
            หอมใช้เป็นอาหารและใช้ทำยาได้
พร้อง หมายถึง พูดถึง
ผักหวาน หมายถึง ชื่อไม้พุ่มชนิดหนึ่ง ยอดและดอกอ่อนกินได้

       ผักโฉมเป็นชื่อที่พูดถึงที่มีความไพเราะ ไม่ว่าจะเป็นตัวน้องหรือคนอื่น แต่พอเอ่ยชื่อผักหวานแล้วรู้สึกว่า
ความหวาน จะแล่นกระจายเข้าไปในอก ทำให้พี่คิดถึงความรักที่อ่อนหวานของน้อง

ผักหวาน
การพิจารณาคุณค่า
       กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานฯ นับเป็นวรรณคดีที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง แม้มีเนื้อเรื่องที่ไม่ยาวนัก แต่ให้คุณค่า
ที่มีประโยชน์หลายประการ คือ
       1. ให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมด้านอาหารการกินของคนไทยสมัยโบราณ สะท้อนให้เห็นความละเอียดอ่อน
พิถีพิถันในทุกขั้นตอนของการทำอาหาร
       2. ให้ความรู้เกี่ยวกับประเพณี ความเชื่อต่างๆ เช่น พิธีโล้ชิงช้า ซึ่งเป็นคติความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ ประกอบ
พิธีในช่วงเดือนยี่
       3. สะท้องสภาพบ้านเมืองในสมัยอดีต มีการติดต่อค่าขายกับชาวต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย จึงมีการแลกเปลี่ยน
วัฒนธรรมด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย เช่น ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ รสพิเศษใสลูกเอ็น ซึ่งเป็นวิธีการหุงข้าวแบบแขกเปอร์เซีย ใส่เครื่องเทศชนิดหนึ่งเรียกว่า "ลูกเฮลท์" เพี้ยนเสียงมาเป็น "ลูกเอ็น"
       4. ให้คุณค่าเชิงวรรณศิลป์ กวีสามารถพรรณนาอาหารแต่ละชินิดได้อย่างเห็นภาพ ใช้ถ้อยคำเปรียบเทียบลึกซึ้ง
กินใจ และไพเราะ
















พิกุลทอง

พิกุลทอง
 


บทละครนอก เรื่องพิกุลทอง เป็นนิทานไทยเรื่องหนึ่งซึ่งไม่ปรากฎหลักฐานเกี่ยวกับผู้แต่ง แต่เมื่อพิจารณาจากสำนวนที่ติดปากคนไทยว่า "กลัวดอกพิกุลจะร่วง" อาจสันนิษฐานได้ว่านิทานไทยเรื่อง พิกุลทอง คงเป็นที่นิยมมากในอดีต ที่มา : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร


เรื่องย่อ พิกุลทอง ตอน 1-30
     ตอน 1
    เปิดเรื่องที่ผอบลอยน้ำมา ติดที่ชายฝั่ง เจ้าชายพิชัยมงกุฎ ลงจากหลังม้า แล้วหยิบผอบมาดู
                ณ เมืองชัยมงกุฎ ซึ่งมีพระสังข์ศิลป์ชัย และพระนางสุพรรณกัลยา เป็นผู้ปกครอง พิชัยมงกุฎพระโอรส ได้เปิดผอบพบดอกพิกุลทอง และเส้นผม ก็เพ้อหาเจ้าของจนไม่เป็นอันกินอันนอน พระพิชัยมงกุฎพบจดหมาย เป็นบันทึกเรื่องราวของเจ้าหญิงพิกุลทอง
 สิบห้าปีก่อนหน้านั้น ณ เมือง สัณนุราช เจ้าหญิงพิกุลทองได้ประสูติขึ้นมา มีดอกพิกุลทองลอยมาจากปาก โหรทำนายว่าเจ้าหญิงมีบุญญาธิการสูงส่ง มีจิตใจงดงาม ยามพูดจึงมีพิกุลทองลอยออกมา วันหนึ่ง มหาดเล็กมาทูลว่าพวกนกในป่าพากันเข้ามาทำรังในอุทยานที่ตกแต่งไว้อย่าง ดี แถมยังบินมาขโมยอาหารในครัว ท้าวสัณนุราช สั่งให้ทหารขับไล่พวกนกไป แต่เจ้าหญิงองค์น้อยได้ตรัสว่า รังพวกนกก็คือบ้านของพวกมัน ถ้าเราไปไล่มันออกจากบ้าน ก็น่าสงสาร และขอร้องเสด็จพ่อให้สร้างบ้านให้พวกมันอยู่อย่างเป็นระเบียบ  ท้าวสัณนุราชกับมเหสีเห็นดีงามด้วย จึงสร้างอุทยานนก ให้พวกมันอยู่ พวกนกจึงไม่มารบกวนในวัง แถมยังรักใคร่เจ้าหญิงองค์น้อย อีกด้วย คอยบินวนเวียนมาร้องเพลงให้ฟังตลอดเวลา เมื่อเข้าสู่วัยสาว ท้าวสัณนุราชและมเหสี ก็เตรียมหาคู่ครองให้เจ้าหญิงพิกุลทอง แต่เจ้าหญิงกลับไม่สนใจ พวกนกพากันซ้อมร้องเพลงเพื่อไปอวยพรเจ้าหญิง เจ้ากาดำ อยากร่วมวงกับนกตัวอื่นในอุทยาน และหวังจีบเจ้าหงส์หยกที่มีแฟนเป็นนกแก้ว จึงพยายามมาขอเข้าวงด้วย แต่นกตัวอื่นพากันรังเกียจ
 
     ตอน 2
     พวกนกพากันบินไปร้องอวยพร เมื่อเจ้าหญิง 15 พรรษา เจ้ากาพยามบินมาร่วมวง แต่ถูกไล่ไป ขณะที่เจ้ากาดำพยายามขอคัดเลือกเข้าวง แต่เสียงร้องไม่ผ่าน ถูกโหวตออกสร้างความน้อยใจให้มันมาก แต่ก็ยังไม่ยอมละความพยายาม ณ เมืองแร้ง อันมีอุษณปักษี เป็นเจ้าแห้งแร้ง ประชากรแร้งอดอยากเพราะหาซากสัตว์กินไม่ได้ พญาแร้งอยากกินของสด จึงให้ลูกสมุนออกไปหาแหล่งอาหารใหม่ พวกลูกสมุนบินออกไปหาอาหาร ในขณะที่เจ้าหญิงพิกุลทองกำลังสรงน้ำอยู่กับเหล่าพี่เลี้ยง เหล่าพี่เลี้ยงเมื่อเจอพวกแร้งก็พากันรังเกียจขว้างปาจนแร้งหนีไป สมุน แร้งไปรายงานให้พญาแร้งฟัง พญาแร้งโกรธมาก ให้พาไปดูตัวมนุษย์ที่พูดจาดูถูกแร้ง  พญาแร้งได้ไปพบเจ้าหญิงพิกุลทองก็หลงรัก คิดจะจับเป็นชายา
 
      ตอน 3
      พญาแร้งส่ง พิศนุปักษี แร้งที่ปรึกษาแปลงตัวเป็นเจ้าชาย ไปสืบดู พบว่าท้าวสัณนุราชหวงลูกสาวเป็นอันมาก แถมยังเป็นกษัตริย์ที่ตรัสแล้วไม่คืน คำ จึงคิดแผนให้ท้าวสัณนุราชยกเจ้าหญิงพิกุลทองให้ตนอย่างปฎิเสธมิได้  ขณะที่เจ้ากา ยังหาทางจีบเจ้าหงส์หยกอยู่ เจ้ากาบินไปหาถั่วงาเพี่อมาให้เจ้าหงส์หยก ณ กระท่อมชายป่า เป็นที่อาศัยของตายาย พญาแร้งแปลงตัวเป็นคนมาขอพักอาศัยกับตายาย แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาเจ้ากาที่มาขโมยถั่วงาพอดี อุษณะมาอยู่กับตายาย ช่วยทำไร่ โดยให้พวกแร้งสมุนมาช่วยทำแทน ตายายคิดว่าอุษณะเก่ง ก็รักใคร่เหมือนลูกเหมือนหลาน ตากับยายสบายไม่ต้องทำงาน จนเคยตัว อุษณะเอาเงิน ข้าวของมาฝากตลอดเวลา  เจ้ากาพยายามไปบอกพวกนกว่าพวกแร้งปลอมเป็นคนไปอาศัยกระท่อมตายาย แต่พวกนกมัวแต่ซ้อมร้องเพลงไม่สนใจ
 
     ตอน 4
     เจ้าหญิงพิกุลทองเสด็จเยี่ยมชาวบ้าน อุษณะแอบตามไปรับเสด็จ แล้วคิดแผนการชั่วร้าย เจ้ากาสงสัยแอบตาม แต่ต้องคอยหลบพวกแร้งที่คอยวนเวียนใกล้ ๆ อุษณะ  อุษณะไปขอตายายว่าอยากแต่งงาน ตายายรับปากว่าจะไปสู่ขอให้ แล้วถามว่าใคร อุษณะบอกว่าเจ้าหญิงพิกุลทอง ตายายถึงกับลมใส่ แต่ต้องยอมทำตามเพราะรับปากไว้แล้ว ตายายเข้าวังไปขอเข้าเฝ้า เพื่อขอเจ้าหญิงพิกุลทองให้อุษณะ ท้าวสันณุราชโกรธมากที่ตายายบังอาจขอเจ้าหญิงพิกุลทอง ท้าวสันณุราชบอกว่าถ้าสร้างสะพานเงินสะพานทองจากบ้านมาถึงวังได้ จะยกให้ แต่ถ้าทำไม่ได้จะมีโทษประหาร
ตายายกลับบ้านมาตัวสั่น อุษณะบอกว่าไม่ต้องกลัวและรับปากว่าจะไม่ทำให้ตายายโดนโทษประหารแน่ อุษณะบอกตายายว่าคืนนี้ห้ามออกจากบ้าน ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ตาม เจ้าหญิงพิกุลทองรู้เรื่องที่เสด็จพ่อให้สัญญากับตายาย พี่เลี้ยงบอกให้เจ้าหญิงวางใจเพราะว่า
อุษณะไม่มีทางทำได้
 
     ตอน 5
     อุษณะกลับมาก็แปลงเป็นแร้ง บินมาที่เขาเนินทะกาแล้วเรียกรวมพลบรรดาแร้ง เหล่า แร้งบินมาขนหินจากเขาเนินทะกา แล้วเอามาทิ้งเป็นสะพาน ตายายอยู่ในบ้านได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมก็กลัวจนตัวสั่นไม่กล้าออกไปข้าง นอก กามาเจอตกใจมาก แร้งบากกับแร้งแห้งช่วยกันไล่จับกา แต่กาหนีไปได้  กาบินไปร้องเรียกพวกนกให้มาดู พวกนกเอาแต่หลับอุตุ วันรุ่งขึ้น ไก่ขัน ตายายโผล่หน้ามาตกใจสุดขีดที่มีทางด่วนหน้าบ้านไปถึงวังเลย พวกนกพากันแตกตื่นบินมาดู ที่วังก็แตกตื่นไม่แพ้กัน เมื่อ พระนางรัตนวลัยตื่นบรรทมมองออกมานอกหน้าต่าง ก็เจอสะพานเลย
รีบทูลท้าวสัณนุราชที่ทรงตกพระทัยสุดขีด
  
   ตอน 6
    ตายายพาอุษณะมาทวงสัญญา ท้าวสันนุราชจำต้องรักษาคำพูด และคิดว่าอุษณะต้องมีบุญญาธิการจึงสามารถทำแบบนี้ได้ อุษณะบอกว่าตัวเองแท้จริงแล้วเป็นเจ้าเมืองจากแดนไกล ท้าวสันณุราชจึงยกเจ้าหญิงพิกุลทองให้ พวกนกเริ่มเชื่อเจ้ากา   ขณะที่จะไปบอกเจ้าหญิง ก็ถูกพวกแร้งคุมไว้ ไม่ให้ไปบอก กาบอกว่าถ้าเชื่อกาแต่แรกคงไม่เป็นแบบนี้ เจ้าหญิงบอกสนมว่าต้องทำตามเสด็จพ่อ ไม่อยากให้เสด็จพ่อเสียคำพูด พระนางรัตนวลัยมาปลอบ เจ้าหญิงพิกุลทอง ยอมแต่งงานกับอุษณะ พิธีอภิเษกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เจ้าหญิงพิกุลทองรู้สึกแปลกใจมากที่ไม่มี พวกนกมาร้องอวยพรเหมือนเดิม เพราะถูกพวกแร้งจับไปหมด บนท้องฟ้ามีแต่อีแร้งบินวนเวียน คืนส่งตัว เจ้าหญิง เมื่อเข้าห้องบรรทม เจ้าหญิงกลับเหม็นกลิ่นตัวอุษณะอย่างแรงจนเข้าใกล้ไม่ได้ อุษณะพยายามให้พวกแร้งเอาน้ำหอมมาราดตัวก็ช่วยไม่ได้  อุษณะเข้าใกล้เจ้าหญิงไม่ได้ ก็ทนไม่ไหว เลยคิดอุบายหลอกพาเจ้าหญิงไปที่เมืองแร้งของตน
 
     ตอน 7
     อุษณะไปขอท้าวสันณุราชว่าจะพาเจ้าหญิงพิกุลทองไปหาเสด็จพ่อเสด็จแม่ ท้าวสุณนุราชจำต้องยอมให้ไป ท้าวสัณนุราชจัดเรือพระที่นั่งให้ โดยให้พวกทหารและนางสนมตามไปด้วย ขณะที่เจ้ากาหาทางหนีพวกแร้งที่คุมอยู่ได้ พวกนกต่างขอให้กาไปช่วยเจ้าหญิง พร้อมทั้งสัญญาว่ากลับมาจะให้เป็นนักร้องนำวง เจ้าการีบหนีพวกแร้งออกมาได้ แต่ไม่ทัน แต่น่าเสียดายที่เรือออกไปแล้ว เรือออกเดินทางไปยังเมืองแร้ง โดยมีทหารและข้าราชบริพารเมืองสัณนุราชตามเสด็จ อับสร และสร้อยทองบอกว่า อุษณะท่าทางไม่น่าไว้ใจ เจ้าหญิงรู้สึกกลัว จึงขอให้แม่ย่านางของเรือช่วยปกปักคุ้มครอง ขณะที่เจ้ากาก็บินตามเรือจนหมดแรง เห็นหมาเน่าลอยน้ำเลยไปเกาะ แต่กลายเป็นเจ้าหมาไน เกือบถูกงับ เรือมาถึงเขตเขาเนินทะกา และเนินปักษี อันเป็นที่อยู่ของพวกแร้ง อุษณะเห็นว่ามีทหารมาด้วย จึงบอกให้เจ้าหญิงและผู้ติดตามรอที่เรือก่อน ส่วนตัวเองจะไปบอกชาวเมืองให้เตรียมการต้อนรับ ขณะที่เจ้าหญิงและบริวารรออยู่ที่เรือ อุษณะก็ไปสั่งให้ทหารแร้งจับคนกินให้หมด เหลือเจ้าหญิงพิกุลทองไว้คนเดียว
 
   ตอน 8
    เจ้ากาบินมาทัน ร้องเตือนเจ้าหญิง แต่พวกทหารไม่รู้ พากันไล่กาออกไป อยู่ดี ๆ ท้องฟ้ามืดมิด ฝูง แร้งมาโจมตีเรือของเจ้าหญิง พวกแร้งบุกโจมตีเรือ เจ้าหญิงเข้าไปหลบซ่อนในเสากระโดงเรือ พญาแร้งบินหาเจ้าหญิง แต่ไม่พบ โกรธบรรดาลูกสมุน หาว่าขัดคำสั่งจับเจ้าหญิงพิกุลทองไปกิน พวกลูกสมุนปฎิเสธ แล้วพากันออกไปตามหาเจ้าหญิง
 
    พวกแร้งกลัวว่าเจ้าหญิงจะซ่อนในเรือ เลยทำให้เรือรั่วจะจม เจ้าหญิงเห็นเจ้ากา เลยใช้วาจาพิกุลทองขอให้เจ้ากาช่วยล่อพวกแร้งไป  กาบินออกมาล่อพวกแร้ง ขณะที่เจ้าหญิงหนีจากเรือไปซ่อนในถ้ำบนเกาะ เจ้าหญิงจารึกเรื่องราวของตน พร้อมทั้งนำเส้นผมใส่ผอบขอให้คนมาช่วยเหลือ
ตัดมาปัจจุบัน ณ เมืองชัยมงกุฎ ซึ่งมีพระสังข์ศิลปชัย และพระนางสุพรรณกัลยา เป็นผู้ปกครอง
พิชัยมงกุฎพระโอรส  ออกไปเดินเล่นริมทะเล เจอผอบ จึงเก็บมาโดยไม่ฟังคำทัดทานจากไอ้จ้อยมหาดเล็ก
เมื่อได้อ่านเรื่องราวและได้ดมผมหอม พระพิชัยมงกุฎก็หลงเพ้อจนไม่เป็นอันกินอันนอน ร้อนถึง พระสังข์ศิลปชัย และพระนางสุพรรณกัลยา ก็เป็นห่วง
 
     ตอน 9
     พระพิชัยมงกุฎขอออกไปตามหาเจ้าของเส้นผม พระสังข์ศิลปชัย และพระนางสุพรรณกัลยาจำต้องยอมให้ไปเพราะเป็นห่วงเจ้าชายที่ล้มป่วย เจ้าชายพิชัยมงกุฎออกเดินทางโดยสำเภาออกจากเมืองไป  ณ เกาะกาขาว อันเป็นที่อาศัยของนางยักษ์กาขาว เป็นยักษ์ที่มาอาคม   นางกาขาวดูในลูกแก้ววิเศษ เห็นเรือผ่านมา พร้อมด้วยเจ้าชายพิชัยมงกุฎ นาง ยักษ์กาขาวจึงให้สมุน เป็ดอ้วน บินไปสอดแนม เป็ดอ้วนบินไปเกาะเรือเจ้าชาย ก็รู้เรื่องที่เจ้าชายกำลังตามหาเจ้าหญิงพิกุลทอง จึงรีบไปรายงานนางกาขาว นางกาขาวอยากได้เจ้าชายเป็นชายา จึงคิดแผนการใช้แล้วจึงใช้อาคม เนรมิตพายุให้เรือเจ้าชายหลงมาเข้าฝั่ง เรือเจ้าชายถูกพายุพัดมาทางเกาะนางกาขาว จนเกยตื้น ทุกคนสลบเหมือด พระนางกาขาว ให้พวกยักษ์แปลงเป็นคนเพื่อคอยต้อนรับเจ้าชาย ส่วนตัวเอง สวมรอยเป็นเจ้าหญิงพิกุลทอง
 
     ตอน 10
    เจ้าชายฟื้นขึ้นมา ออกสำรวจเกาะ  นางกาขาวให้สมุนยักษ์เล่นละครตบตาให้เจ้าชายคิดว่านางกาขาวเป็นเจ้าหญิง พิกุลทอง เจ้าชายดีใจมากที่ได้เจอเจ้าหญิง นางพิกุลทองปลอมโกหกว่าหนีพวกแร้งมาได้จนกลับมาที่เมือง และให้ข้าราชบริพารดูแลต้อนรับเจ้าชายเป็นอย่างดี
เจ้าชายพิชัยมงกุฎหลงใหลในตัว นางพิกุลทองปลอม จึงขอแต่งงาน พิธีอภิเษกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ประชากรยักษ์มาอวยพร  เจ้าชายพิชัยมงกุฎสงสัยว่าทำไมนางพิกุลทองถึงได้มีวาจาไม่ไพเราะ และผมก็ไม่ได้หอมเหมือน ผมในผอบ นางกาขาวอ้างว่าไม่มีเวลาทำแฮร์สปา ต่อหน้าพยายามพูดไพเราะ เหล่าทหารที่ติดตามเจ้าชายมา พากันหลงสาวในเมืองโดยไม่รู้ว่าเป็นพวกยักษ์
เจ้าชายบังเอิญไปเห็นนางกาขาวตวาดลูกสมุน ชักสงสัยในตัวพิกุลทอง จึงคิดหาทางพิสูจน์
  
    ตอน 11
      ขณะเดียวกัน ที่เขาเนินทะกา สมุนแร้งพบเบาะแสเจ้าหญิงพิกุลทอง รีบเอาไปให้พญาแร้ง
พญาแร้งมาที่ถ้ำ เห็นข้าวของเจ้าหญิง จึงรู้ว่าเจ้าหญิงต้องอยู่บนเกาะแน่ ๆ ให้สมุนออกตามหา  เจ้ากาพาเจ้าหญิงหนีมาหลบในวังแร้ง เพราะคิดว่าพญาแร้งคงนึกไม่ถึง เจ้า กาบอกว่าจะไปหาคนมาช่วย แล้วบินออกไป เจ้าชายพิชัยมงกุฎ สงสัยนางพิกุลทองปลอม  จึงแอบนำเส้นผมจากผอบมาเปรียบเทียบ คิดว่าต้องเป็นตัวปลอมแน่  เจ้าชายไปบอกมหาดเล็ก ทุกคน ไม่เชื่อเพราะมัวแต่หลงสาวยักษ์ เจ้าชายเอาหลักฐานมาดู ทุกคนเริ่มไม่แน่ใจ
 
     ตอน 12
      เจ้าชายพาทหารมาแอบดูพวกนางสนมตอนดึก พบว่ากลายเป็นยักษ์หมด ทุกคนตกใจ แต่แอบไม่ให้มีพิรุธ เจ้าชายพิชัยมงกุฎให้ทหารเตรียมการหลบหนี เจ้าชายแกล้งชวนนางพิกุลทองปลอมเลี้ยงฉลองชาวเมือง แล้วให้พวกทหารใส่ยานอนหลับไว้ในอาหาร ตกดึก พวกยักษ์หลับหมด เจ้าชายกับทหารหนีออกจากเมือง เจ้าเป็ดอ้วนเห็น รีบไปบอกพระนางกาขาว   แต่บินช้าถูกพวกทหารเอาหนังสติ๊กยิงใส่   ก่อนจะหนีไป เจ้าเป็ดอ้วนฟื้น รีบไปบอกพระนางกาขาว พระนางกาขาวรีบขัดขวาง   พระนางกาขาวเสกพายุใส่เรือ พายุพัดจนเรือพังจมลงในมหาสมุทร
 
    ตอน 13
    เจ้าชายกับทหารหนีมากับเรืออีกลำ โดยใช้เรือลวงให้นางกาขาวตายใจ พวกยักษ์พากันหาศพทหาร แต่ไม่พบสักคน เมื่อหนีนางยักษ์มาได้  ไอ้จ้อยมหาดเล็กขอให้กลับเมือง แต่เจ้าชายไม่ยอมกลับเมือง คิดจะตามหาเจ้าหญิงพิกุลทองตัวจริงต่อ โดยเสี่ยงทาย พระสมุทรช่วยชี้ทางให้เจ้าชายเดินเรือไป  เรือออกเดินทางไปในทะเล   เจ้ากาบินมาเจอเรือ เลยพยายามเรียกให้ช่วย เจ้าชายเห็นการ้องผิดสังเกต รับสั่งให้ตามกาไป  กาบินนำเรือมาจนถึงเกาะเนินทะกา แต่พวกแร้งมาเจอเรือ การีบหลบ พวกแร้งไปแจ้งพญาแร้ง พญาแร้งกับพิศนุปักษี เลยแปลงเป็นคน แล้วออกมาต้อนรับเจ้าชาย เจ้ากาบินไปบอกเจ้าหญิงว่ามีคนมาช่วย เจ้าหญิงดีใจคิดว่าต้องเป็นผู้ที่ได้อ่านจดหมายในผอบแน่ ๆ
 
     ตอน 14
      เจ้าชายมา พญาแร้งชวนให้พักก่อน เจ้าชายงงว่าที่เมืองนี้มีแต่ อุษณะกับขันทีเท่านั้น แถมมีแร้งบินวนเวียนทั้งเมือง เจ้าชายเอาจดหมายให้ดู อุษณะรู้ว่าเจ้าหญิงที่แอบอยู่บนเกาะเขียนไปให้เลยคิดจะใช้เจ้าชายล่อเจ้า หญิงออกมา  
     เจ้าหญิงพิกุลทอง เห็นเจ้าชายอยู่กับพญาแร้ง ก็ไม่กล้าเข้าไปหา แอบอยู่ใกล้ๆ เจ้าชายเมื่อหาเจ้าหญิงพิกุลทองไม่พบจึงกลับไป เจ้าชายเจอพิกุลทองตกอยู่ ก็จำได้ รีบตะโกนหาเจ้าหญิงพิกุลทอง โดยไม่รู้ว่าพวกแร้งแอบสะกดรอยตามอยู เจ้ากาเห็นเข้ารีบไปเตือนเจ้าหญิง เจ้าหญิงไม่กล้าออกมา เจ้าชายได้กลิ่นผมหอมคิดว่าเจ้าหญิงต้องอยู่แถว ๆนี้แน่  อุษณะให้พวกแร้งคอยเฝ้าเจ้าชายกับพวกทหารไว้ให้ดี  คืนนั้น อุษณะให้เจ้าชายกับทหารพักค้างคืนที่ห้องผา เจ้าชายมองลงมาเห็นพิกุลทองลอย ออกมาจากป่า เจ้าชายรู้สึกผิดสังเกต เมื่อเห็นพวกแร้งคิดว่าต้องไม่ใช่แร้งธรรมดาแน่ๆ  เพราะทุกตัวมักจะแอบหันมามองเจ้าชายตลอดเวลา พอพวกแร้งที่เกาะอยู่เผลอ เจ้าชายก็หนีออกมาเจ้าชายกับเจ้าหญิงพิกุลทองได้พบกันในที่สุด เจ้าชายสัญญาว่าจะช่วยเจ้าหญิงออกไปจากเกาะให้ได้  
 
     ตอน 15
     สมุนแร้งบอกว่าเจ้าชายหายไปจากห้องบรรทม  พญาแร้งรีบบินมาหาเจ้าชาย แต่เจ้าชายรู้ตัว รีบให้เจ้าหญิงซ่อนไว้ อุษณะมาหา เจ้าชายโกหกว่านอนไม่หลับ เลยออกมาเดินเล่น และพยายามไม่ให้มีพิรุธ เจ้าหญิงกลับไปยังถ้ำรออย่างมีความหวังว่าเจ้าชายจะมาช่วย  วันรุ่งขึ้น เจ้าชายแกล้งทำเป็นเลิกตามหาเจ้าหญิง แล้วขอตัวกลับ ระหว่างนั้น พวกทหารพาเจ้าหญิงมาแอบซ่อนไว้ในเรือ แต่สมุนแร้งเห็นเข้าพอดี เลยไปบอกพญาแร้ง ขณะที่เรือกำลังจะออก พญาแร้งสั่งสมุนบุกเรือ เจ้าชายรอรับมืออยู่แล้ว สงครามระหว่างเจ้าชายกับพวกแร้งจึงเริ่มขึ้น
 
     ตอน 16
     เจ้าชายให้ทหารตลบหลังพวกแร้ง จัดการยึดวัง แล้วสู้จนพวกแร้งหนีไปหมด พญาแร้งบาดเจ็บคิดจะกลับมาแก้แค้นเจ้าชายให้ได้ เจ้าชายพาเจ้าหญิงพิกุลทองกลับเมืองและไปสู่ขอท้าวสันนุราช ที่เมืองสันนุราช เจ้าหญิงได้รับการต้อนรับอย่างดี เจ้ากากลับมาอย่างวีรบุรุษ พวกนกพากันต้อนรับไม่รังเกียจเจ้ากาอีกต่อไป ฝ่ายพญาแร้งที่บาดเจ็บก็คิดอาฆาต จึงให้สมุนออกตามหาเจ้าชายและเจ้าหญิงพิกุลทอง พวกลูกสมุนบินตามไปหาที่เมืองสัณนุราช ก็ได้พบเจ้าหญิงพิกุลทองขณะ กำลังทำพิธีเฉลิมฉลอง พวกแร้งไปรายงาน พญาแร้งให้รอก่อน แล้วหาทางกำจัดเจ้าชายพิชัยมงกุฎเพื่อแย่งเจ้าหญิงพิกุลทองกลับคืนมา
 
     ตอน 17
     เจ้าชายพิชัยมงกุฎอยากพาเจ้าหญิงพิกุลทองไปให้เสด็จพ่อเสด็จแม่รู้จัก เพื่อเตรียมการอภิเษกจึงขอท้าวสัณนุราชเพื่อพาไปเมืองชัยมงกุฎ 
     ท้าวสันณุราชจัดเรือสำเภาให้เดินทาง โดยมีพวกนกตามไปอวยพรและร่วมพิธีอภิเษกด้วย แต่ ไม่มีใครรู้ว่าพวกแร้งได้แอบสะกดรอยตามไปด้วยตลอดเวลา พวกแร้งไปรายงานพญาแร้ง พญาแร้งรู้ว่าจะมีการอภิเษก จึงคิดหาทางแก้แค้นเจ้าชาย รอให้เจ้าชายกับเจ้าหญิงไปถึงเมืองก่อน ฝ่ายนางยักษ์กาขาว พอเจ้าชายหนีไปก็ให้สมุนออกติดตามหา จนได้ข่าวงานอภิเษกของเจ้าชายพิชัย มงกุฎ ก็แค้นมาก เตรียมวางแผนไปแย่งชิงตัวเจ้าชายมา โดยไม่สนใจคำเตือนของ นางยักษ์กาสุรัตน์ ผู้เป็นพี่สาวที่ไม่ให้ยุ่งกับมนุษย์ เจ้าเป็ดอ้วนมาสอดแนมบนเรือ แล้วมาตีสนิทกับพวกนก ด้วยการทำตัวใสซื่อ และเล่าเรื่องตลกให้ฟัง จนพวกนกทุกตัวตายใจและหลงชอบเจ้าเป็ดอ้วนสมุนนางกา ขาว สร้างความไม่พอใจให้เจ้ากาดำมาก  ที่เมืองชัยมงกุฎ ทุกคนกำลังเตรียมพิธีอภิเษก โดยไม่รู้ว่าพวกนางยักษ์กาขาวกำลังมา โดยเจ้าเป็ดอ้วนคอยรายงานทุกอย่างให้พวกยักษ์รู้ด้วยการส่งสัญญาณ
 
     ตอน 18
     เจ้ากามาเห็นเจ้าเป็ดอ้วนแอบหายไปผิดสังเกต จึงสะกดรอยไปเห็นกำลังแอบส่งสัญญาณติดต่อนางยักษ์กาขาวอยู่ ก็ตกใจ บอกว่าจะไปบอกความจริงให้ทุกคนรู้ เจ้าเป็ดอ้วนบอกว่าจ้างก็ไม่มีใครเชื่อ  เจ้าเป็ดอ้วนจัดการไปใส่ร้ายเจ้ากาดำ หาว่าเจ้ากาดำอิจฉา เลยชอบมากลั่นแกล้ง พอกาดำมาบอกทุกคนเลยไม่เชื่อ แถมพวกนกยังไปเห็นเจ้ากาดำทำร้ายเจ้าเป็ดอ้วนที่น่าสงสารอีก ทุกตัวเลยเฉดหัวกาดำไป  เจ้ากาดำงอน เลยบินหนีไปอย่างเศร้า ๆ แต่มันบังเอิญไปพบสมุนแร้งที่แอบมาสอดแนม เจ้ากาดำตกใจมากที่รู้ว่าพวกแร้งกำลังจะมาที่เมืองนี้ พิธีอภิเษกกำลังจะเริ่มขึ้นในวันรุ่งขึ้น    พระนางกาขาวแปลงร่าง บินมาที่เมืองชัยมงกุฎ หวังทำลายพิธีอภิเษกและแย่งเจ้าชาย ขณะที่ฝูงแร้งก็เตรียมบุกเมืองชัยมงกุฎเช่นเดียวกัน เพื่อแย่งชิงเจ้าหญิงพิกุลทอง
 
     ตอน 19
     เจ้ากาดำบินมาบอกนกทุกตัว แต่ไม่มีใครเชื่อ ทุกตัวต่างพากันเตรียมร้องเพลงอวยพรเจ้าหญิง เจ้าเป็ดอ้วนรู้ว่าพวกแร้งจะมา รีบรายงานให้พระนางกาขาว พระนางกาขาวบอกว่าจะต้องกำจัดเจ้าหญิงพิกุลทองให้ได้ ก่อนที่พวกแร้งจะมา และจะได้โอกาสใช้พวกแร้งเป็นเครื่องมือ
ขณะที่พวกนกเตรียมร้องเพลงอวยพรพิธีอภิเษกให้เจ้าหญิงพิกุลทอง เจ้า หงส์หยกเริ่มสงสัยว่าเจ้ากาอาจจะพูดจริง เพื่อความปลอดภัย พวกนกเลยจะคอยอารักขาเจ้าหญิงพิกุลทองก่อนวันอภิเษก เจ้าเป็ดอ้วนอาสาช่วย อารักขา โดยมีแผนร้ายอยู่ในใจ ตอนกลางคืน ก่อนวันอภิเษก ขณะที่เจ้าหญิงกำลังสวีทกับเจ้าชาย นางกาขาวก็มาถึง และคิดแผนการร้ายกำจัดเจ้าหญิงพิกุลทอง
วันรุ่งขึ้น เจ้าหญิงออกไปชมสวน โดยมีพวกนกคอยดูแล เจ้าหญิงออกไปเก็บบัว เจ้าเป็ดอ้วนถือโอกาสดึงความสนใจพวกนกไปทางอื่น โดยการหลอกว่าพวกแร้งมา   พอเจ้าหญิงเผลอ นางกาขาวซึ่งซ่อนอยู่ใต้น้ำก็ดึงเจ้าหญิงจมลงไปในน้ำ พวกนกตกใจที่กลับมา เจ้าหญิงหายไปแล้ว
 
     ตอน 20
     นางกาขาวเสกเจ้าหญิงพิกุลทองให้กลายเป็นชะนี ส่วนตัวเอง แปลงเป็นเจ้าหญิงพิกุลทองขึ้นมาจากน้ำ  เจ้ากาบินมาจำได้ว่าไม่ใช่พิกุลทอง แต่ถูกเจ้าเป็ดกับพวกนกไล่ไป  เจ้ากาบินไปบอกเจ้าชาย แต่อยู่ดี ๆพวกแร้งก็บุก เจ้าชายสั่งให้ทหารรับมือกับการบุกของพวกแร้งแล้ววิ่งตามหาเจ้าหญิงพิกุลทอง เจ้าชายมาที่สระบัว นางกาขาวได้แปลงเป็นพิกุลทองแล้ว เจ้ากาพยายามบอก แต่ถูกพวกนกไล่ไปหาว่าเจ้ากามากลั่นแกล้งเจ้าหญิง เจ้าเป็ดอ้วนให้พวกนกเอาเชือกมัดปาก เจ้ากาเลยร้องไม่ได้ พวกทหารไล่พวกแร้งไปหมด พญาแร้งสั่งให้สมุนออกตามหาเจ้าหญิงพิกุลทอง
 
     ตอน 21
     ฝ่ายเจ้าหญิง เมื่อเป็นชะนีก็หนีไปอยู่ในป่า เจ้ากาออกตามหา จำได้ว่าเป็นเจ้าหญิงพิกุลทอง เจ้ากาบอกเจ้าหญิงว่าจะหาทางทำให้เจ้าหญิงกลับกลายเป็นคน และเปิดโปงนางยักษ์กาขาวที่ปลอมตัวเป็นเจ้าหญิง พญาแร้ง ออกตามหาเจ้า หญิง พอเจอเจ้าหญิงปลอมก็รู้ อุษณะถามหาเจ้าหญิง มิฉะนั้นจะบอกความจริงให้เจ้าชายรู้ นางกาขาวบอกว่าเสกให้กลายเป็นชะนี แล้ว ถ้าอยากได้ต้องไปหามา แล้วจะเสกคืนให้ อุษณะสั่งให้พวกแร้งตามหาชะนีในป่าที่มีพิกุลทองในปาก พวกสัตว์ป่าเห็นชะนีมีพิกุลทอง ก็สนใจ ชะนีเล่าเรื่องของตนให้สัตว์ป่าฟัง ทุกตัวรับปากจะช่วย เจ้ากาบินออกไปหาทางช่วย แต่ถูกพวกแร้งจับตัวไว้
 
     ตอน 22
     อุษณะถามหาชะนี เจ้ากาโกหกว่าเจ้าหญิงถูกนางยักษ์กาขาวฆ่าตายแล้ว อุษณะไม่เชื่อ แต่ก็แกล้งปล่อยเจ้ากาไปเพื่อหวังหลอกให้ไปหาเจ้าหญิงพิกุลทอง เจ้ากาบินหาเจ้าหญิงโดยตามกลิ่นพิกุลทอง พอรู้ว่ามีแร้งติดตามก็หาจังหวะหลบมาได้ กาไปหาเจ้าหญิง และเล่าเรื่องที่พญาแร้งตามหาตัว รวมถึงเรื่องพระนางกาขาวที่ใช้เสน่ห์อาคมหลอกจนเจ้าชายพิชัยมงกุฎหลงเชื่อไป หมด   พวกสัตว์บอกว่ามีฤาษีอาศัยอยู่ในป่า เจ้าการับปากจะไปหาให้ช่วยเหลือ
เจ้ากาบินมาเจอฤาษีที่รับจ๊อบเปิดสปา สอนโยคะ จึงขอให้ช่วยเจ้าหญิงพิกุลทอง ฤาษี ติดจ๊อบไปดูให้ไม่ได้จึง บอกให้นำเลือดนางยักษ์กาขาวมาชโลมตัวแล้วจะหาย เจ้ากาขอของวิเศษและขู่ว่าถ้าไม่ให้จะบอกเรื่องรับจ๊อบ ฤาษีจึงติดเทอร์โบ ให้เจ้ากาใช้บินหนีพวกแร้ง และให้เจ้ากาสามารถพูดคุยกับคนได้ กาบินมาจะไปบอกเจ้าหญิง พวกแร้งบินมาดัก
 
     ตอน 23
     พวกแร้งไล่ตามเจ้ากา เจ้ากาดำใช้เทอร์โบที่ฤาษีให้บินหนี ไปได้ พวกนกเห็นว่าเจ้าหญิงพิกุลทองเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม และเริ่มสงสัยเจ้าเป็ดอ้วน เจ้ากาวางแผนให้เจ้าเป็ดอ้วนเผยตัวที่แท้จริง โดยหลอกให้พูดความจริงออกมา เจ้าเป็ดอ้วนเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของมัน เจ้า เป็ดอ้วนบอกว่าเจ้าชายอยู่ในกำมือนางยักษ์กาขาวแล้ว พวกนกช่วยอะไรไม่ได้ พวกนกรู้ความจริง พยายามบอกเจ้าชายแต่เจ้าหญิงพิกุลทองปลอมสั่งให้ทหารไล่นกไป
 
     ตอน 24
     ฝ่ายเจ้าชาย ก็เริ่มสงสัยนางพิกุลทอง เพราะนอกจากจะพูดจาไม่ไพเราะเหมือนเดิมแล้ว พิกุลทองที่ออกจากปากก็ไม่เหมือนของจริง  แถมคำพูดบางอย่างทำให้นึกถึงนางยักษ์บนเกาะที่เคยหลอกว่าเป็นเจ้าหญิงพิกุล ทองด้วย พวกนกที่เคยวนเวียน ยังไม่เข้าใกล้ ได้แต่วนเวียนส่งเสียงร้องผิดสังเกต เจ้าชายต้องการพิสูจน์ จึงออกอุบายว่าจะไปคล้องช้างเผือกในป่า เจ้ากามาหาพวกนก บอกว่าเจ้าหญิงพิกุลทองเป็นชะนี พวกนกพากันบินไปหาเจ้าหญิง พวกนกบอกเจ้าหญิงที่เป็นชะนีว่าบอกว่านางกาขาวกับเจ้าชายมาในป่า เจ้ากาบอกว่าต้องนำเลือดนางกาขาวมาชโลมร่าง แล้วเจ้าหญิงจะกลับเป็นคนเหมือนเดิม แต่ทุกคนไม่รู้ว่าจะทำยังไง
 
     ตอน 25
     ขณะที่พวกแร้งออกตามหาชะนี ที่เป็นเจ้าหญิง เจ้าหญิงต้องคอยหลบ โดยให้เพื่อนชะนีช่วยแกล้งเอาพิกุลทองใส่ปาก เพื่อหลอกพวกแร้ง พวกแร้งจับชะนีผิดตัวไป พวกนกหาทางบอกความจริงให้เจ้าชายรู้ แต่ถูกเจ้าเป็ดอ้วนขัดขวาง ไม่ ให้เข้าใกล้ พวกนกเลยเก็บพิกุลทองที่ร่วงจากปากชะนี โปรยตามทางไปหาเจ้าหญิง เจ้าชายเห็นพิกุลทองก็จำกลิ่นได้ แต่ก็พยายามไม่มีพิรุธให้นางกาขาวรู้ พอตกดึก เจ้าชายก็แอบหลบนางกาขาว ตามดอกพิกุลทองไป โดยหารู้ไม่ว่าเจ้าเป็ดอ้วนแอบตื่นขึ้นมาเห็น
เจ้าชายตามไปจนพบชะนี เจ้าชายจำได้ว่าคือเจ้าหญิงพิกุลทอง เจ้ากาบอกว่าให้นำเลือดนางกาขาวมาชโลมตัวชะนี   เจ้าชายสัญญาว่าจะช่วย แล้วกลับไปหานางกาขาว ทำทีว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พญาแร้งโกรธมากที่รู้ว่าชะนีที่จับมาเป็นตัวปลอม จึงบังคับจนต้องบอกที่อยู่เจ้าหญิง พวกแร้งพากันบินออกไปในป่าเพื่อจับตัวชะนีที่เป็นเจ้าหญิงตัวจริง
 
     ตอน 26
      เจ้าชายพิชัยมงกุฎเตรียมจัดการนางกาขาว โดยรอให้นางหลับ ส่วนพวกนกช่วยกันจับเจ้าเป็ดปากมากมัดปากไว้ไม่ให้ส่งเสียง แต่ขณะที่เจ้า ชายจะฆ่านางกาขาว พวกแร้งบุกมาพอดี
พวกนกรีบพาเจ้าหญิงพญาแร้ง   นางกาขาวตกใจตื่นขึ้นมา พอรู้ว่าเจ้าชายรู้เรื่องแล้ว จึงแปลงเป็นนางยักษ์ ต่อสู้กับเจ้าชาย นางยักษ์เสียท่าถูกเจ้าชายฆ่าตาย เลือดไหลลงมาในลำธารจนเป็นสีแดง
เจ้าชายรีบตามหาชะนี พิกุลทอง เพื่อพามาชโลมเลือดนางกาขาว พวกนกหลอกล่อพวกแร้ง ไว้ส่วน เจ้าชายรีบพาชะนี ไปหาร่างนางยักษ์ก่อนที่เลือดจะไหลจนหมด 
     เจ้าชายพาชะนีหนีมาหาร่างนางยักษ์แต่สายไปเสียแล้ว พวกแร้งหิวโซกำลังรุมทึ้งซากนางยักษ์ พอเจอเจ้าชายมากับชะนี พวกมันจึงบินเข้ามาหวังทำร้าย เจ้าชายรีบหนีไปจนมุมที่หน้าผา เจ้าชายกับชะนีกระโดดลงไปในลำธารข่างล่างที่น้ำเป็นสีแดงเพราะเลือดนางกาขาว เจ้าชายโผล่มาจากน้ำ เห็นพิกุลทองลอยขึ้นมาจากน้ำ พร้อมด้วยเจ้าหญิงพิกุลทอง
 
     ตอน 27
     เจ้าชายดีใจที่ได้เจอนางพิกุลทองอีกครั้ง รีบพากับวัง ส่วนพวกแร้ง ถูกพวกนกรวมกำลังกันต่อสู้ ล่าถอยหนีไปหมด เจ้าชายพิชัยมงกุฎพาเจ้าหญิงกลับวัง อย่างมีความสุข ทุกคนคิดว่าเรื่องร้ายๆ หมดไปแล้ว พวกนกพากันกลับเมืองสัณนุราช เหลือแต่เจ้ากาที่อยู่คอยดูแลเจ้าหญิง ฝ่ายนางยักษ์กาสุรัตน์ผู้เป็นน้องสาว เมื่อรู้ว่านางกาขาวถูกฆ่าตายก็เกิดความแค้น คิดหาทางแก้แค้นให้พี่สาว โดยมีเจ้าเป็ดอ้วนคอยยุยง  เมื่อเจ้าหญิงพิกุลทองชวนเจ้าชายพิชัยมงกุฎกลับไปเยี่ยมพระบิดามารดาโดย เรือสำเภา นายยักษ์กาสุรัตน์จึงมาดักเล่นงานจนเรือสำเภาแตก ทั้งสองถูกคลื่นซักแยกไปคนละทาง พระสมุทรสงสารเจ้าหญิง จึงเนรมิตขอนไม้ให้เจ้าหญิงพิกุลทองเกาะจนลอยไปถึงฝั่ง
 
     ตอน 28
     เจ้าหญิงลอยมาถึงฝั่งอันเป็นเมืองยักษ์ พญายักษ์วิรุณจักรมาพบเข้าก็ถูกใจ พยายามเกี้ยวพาราสี โดยไม่สนใจว่าเจ้าหญิงพิกุลทองมีสามีแล้ว พญายักษ์โกรธมากจึงจับให้ไปเป็นคน รับใช้ในครัวหวังให้เปลี่ยนใจในภายหลัง เจ้ากาบินไปบอกพวกนก ทุกคนช่วยกันส่งข่าวบินออกตามหาเจ้าหญิงพิกุลทอง ฝ่ายเจ้าชายพิชัยมงกุฎ ได้ออกตามหาเจ้าหญิงพิกุลทอง จนมาพบอาศรมฤาษี ฤาษีนั่งทางในบอกว่าถูกพญายักษ์จับตัวไว้ ถ้าจะปราบยักษ์ได้ต้องเรียนวิชา แล้วฤาษีก็สอนมนต์วิเศษให้เจ้าชายเหาะเหินเดินอากาศได้ เจ้าชายเดินทางเพื่อแย่งชิงตัวเจ้าหญิงพิกุลทองกลับคืนมา พญายักษ์รู้เข้าจึงสั่งให้ ยักษ์ กุมกัณฑสูรไปขัดขวาง
 
     ตอน 29
     เจ้าชายต่อสู้กับยักษ์ และใช้วิชาที่เรียนจากฤาษีฆ่ายักษ์ตาย พญา ยักษ์ จัดการสั่งพวกยักษ์ บุกเมืองเจ้าชาย  พวกนกบินตามหาเจ้าหญิงพิกุลทอง แต่ไปเจอพญาแร้ง พญาแร้งจับเจ้าหงส์หยกไว้เป็นตัวประกันเพื่อแลกตัวกับเจ้าหญิงพิกุลทอง เจ้า กาบอกว่าเจ้าหญิงตกอยู่ในอันตรายถูกพวกยักษ์จับตัวไว้   แต่พวกแร้งไม่เชื่อ และจะฆ่าเจ้าหงส์หยก ถ้าไม่นำตัวเจ้าหญิงมา เจ้ากาบินออกตามหาเจ้าหญิงอย่างไร้จุดหมาย จนไปเจอเจ้าหญิงพิกุลทอง แต่ช่วยอะไรไม่ได้  เจ้ากาบินไปหาพวกแร้ง ขอให้พวกแร้งช่วยเจ้าหญิงออกมา ยอมบอกที่อยู่เจ้าหญิงพิกุลทอง และขอให้พญาแร้งช่วย เพราะยังดีกว่าอยู่กับพวกยักษ์
 
     ตอน 30
     พวกแร้งยอมไปช่วยพิกุลทองจนออกมาได้ แต่เจ้าหญิงพอรู้ว่าพวกยักษ์กำลังบุกเมืองมนุษย์กลับไม่ยอมหนีไปกับพวกแร้ง แล้วบอกให้พวกนกไปตามฤาษีมา พวกยักษ์บุกเมืองมนุษย์ เจ้าหญิงพิกุลทองกลับไปหาพญายักษ์วิรุณจักร เพื่อเจรจายุติศึก พญายักษ์ไม่ยอมฟังวาจาพิกุลทอง แถมนางยักษ์กาสุรัตน์ยังมาหา บอกว่าให้ทำลายพวกมนุษย์ที่มาฆ่าพวกยักษ์  เจ้าหญิงพิกุลทองไปปลอบนางยักษ์ กาสุรัตน์ที่ต้องสูญเสียพี่สาวไป นางยักษ์พยายามไม่หลงลมปากพิกุลทอง แต่เจ้าหญิงพูดด้วยความจริงใจ นางยักษ์กาสุรัตน์เริ่มคิดได้ว่านางยักษ์กา ขาวต่างหากที่ไปแย่งชิงเจ้าชายมา
นางยักษ์กาสุรัตน์ขอให้พญายักษ์วิรุณจักรยุติศึกกับพวกมนุษย์ก่อนที่ ทุกอย่างจะสายไป พวกแร้งกับนกร่วมมือกันไปห้ามพวกยักษ์ แต่ไม่มีใครเชื่อ ฤาษีตามมาทัน และเสกให้ทุกคนพูดจาไพเราะ แล้วมีพิกุลทองออกมา ทุกคนพูดจาดี ๆ ต่อกัน ดอกพิกุลทองลอยมาเต็มไปหมด เมื่อทุกคนต่างพูดจาดีต่อกัน สงครามก็ยุติ เจ้าหญิงพิกุลทองได้ครองรักกับเจ้าชายพิชัยมงกุฎอย่างมีความสุขตั้งแต่นั้น มา
 

พระมหาเวสสันดร

พระมหาเวสสันดร


พระเวสสันดรฉบับนี้ ผู้เขียนได้บอกในตอนท้ายว่าได้เขียนตั้งแต่ต้นคือ กัณฑ์ทศพร จนถึงกัณฑ์นครกัณฑ์ ทั้งหมดสิบสามกัณฑ์ แต่ที่พบมีเพียงกัณฑ์วนปเวสน์จนถึงกัณฑ์นครกัณฑ์เท่านั้นรวมสิบกัณฑ์ และเขียนด้วยฉันท์ และกาพย์ ที่มา : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

 . พระเวสสันดร ..

    มหาเวสสันดรชาดร เป็น เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาที่คนไทยรู้จักตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่ไม่มีหลักฐานปรากฎ ต่อมาเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาได้มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร โดยภูมิปัญญาของนักปราชญ์ราชบัณฑิตและบรรพบุรุษ ปัจจุบันมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้รู้ได้แต่งตำราพระเวสสันดรชาดรไว้หลายรูปแบบ ด้วยกัน เช่น โคลงฉันท์ กาพย์ ร่าย กลอนแหล่ และเล่าเป็นนิทาน
ตำนานพระเวสสันดรชาดร


    พระเวสสันดร คือ พระโพธิสัตว์คราวที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร ได้บำเพ็ญบารมีอย่างสูงสุด ยากเกินกว่าผู้ใดจะทำได้ คือ พระราชทานบุตรและภรรยาแก่ผู้ที่มาขอนอกจากนั้นยังบำเพ็ญบารมีอันยิ่งใหญ่ อื่นๆ ครบถ้วนทั้ง 10 ประการ หรือเรียกว่า “มหาชาติ” พระเวสสันดรชาดรเป็นหนังสือเรื่องยาว 13 ผูก ผูกหนึ่งอาจแบ่งเป็นหลายกัณฑ์ ในที่นี้จะยกตำนานพระเวสสันดรบางกัณฑ์ที่สำคัญมานำเสนอคือ “ทานกัณฑ์” เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรถูกขับออกจากเมืองสีวี หรือบางตำราเรียก “ สีพี ”

    ประวัติความเป็นมา

   ด้วยพระเวสสันดรทรงมีพระทัยฝักใฝ่ในการบริจาคตั้งแต่ทรงเจริญวัย ทรงขอให้พระบิดาตั้งโรงทานเพื่อบริจาคข้าวปลาอาหารและสิ่งของจำเป็นแก่ ประชาชน และหากมีผู้มาทูลขอสิ่งใดจากพระองค์ ก็จะทรงบริจาคให้โดยมิได้เสียดาย ด้วยทรงเห็นว่าการบริจาคทานนั้นเป็นกุศลและประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ทั้งผู้ รับและผู้ให้ คือผู้รับก็จะพ้นความเดือดร้อน ผู้ให้ก็จะอิ่มเอิบเป็นสุข พระเกียรติคุณของพระเวสสันดรเลื่องลือไปทั่วว่า ทรงมีจิตเมตตาต่อผู้อื่น โดยมิได้เห็นแก่ความสุขสบายและทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์

   ต่อมาเมื่อชาวเมืองกลิงคราษฎร์เกิดข้าวยากหมากแพง เพาะปลูกไม่ได้ผล ราษฎรอดอยากได้รับความเดือดร้อน จึงทูลพระราชาของตนว่าที่แคว้นสีวี มีช้างเผือกคู่บุญพระเวสสันดรชื่อช้างปัจจัยนาค เป็นช้างเผือกเพศผู้ มีอำนาจพิเศษ คือ ถ้าอยู่ที่เมืองใดจะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ขอให้ส่งทูตไปขอช้างจากพระเวสสันดร ดังนั้นพระเจ้ากลิงคราษฎร์จึงส่งพราหมณ์แปดคนไปแคว้นสีวี


    เมื่อพบพระเวสสันดรประทับบนหลังช้างปัจจัยนาค พราหมณ์จึงทูลขอช้างเพื่อดับทุกข์ชาวกลิงคราษฎร์ พระเวสสันดรก็ประทานตามที่ขอ เมื่อชาวมืองสีวีเห็นดังนั้นก็ไม่พอใจ พากันโกรธเคืองว่าต่อไปบ้านเมืองจะลำบาก เพราะไม่มีช้างปัจจัยนาคเสียแล้วพากันไปทูลพระเจ้าสัญชัยให้ขับพระเวสสันดร ออกจากเมืองไป พระเจ้าสัญชัยไม่อาจขัดราษฎรได้จึงมีพระราชโองการให้ขับพระเวสสันดรออกจาก เมืองสีวี พระเวสสันดรไม่ทรงขัดข้อง แต่ได้ทูลขอบริจาคทานครั้งยิ่งใหญ่ก่อนเสด็จออกจากเมือง โดยบริจาค “สัตตสดกมหาทาน” คือบริจาคทานเจ็ดสิ่ง สิ่งละเจ็ดร้อย แก่ประชาชนชาวเมืองสีวี เมื่อพระนางมัทรี พระมเหสีทรงทราบก็ขอติดตามออกไปด้วยพร้อมทั้งพระโอรสธิดา กัณหาชาลี ครั้นพระนางผุสดี พระมารดาไปทูลขอพระเจ้าสัญชัย ให้อภัยโทษแก่พระเวสสันดร พระเจ้าสัญชัยตรัสว่า “บ้านเมืองจะเป็นสุขได้ ก็เมื่อราษฎรเป็นสุข พระราชาจะเป็นสุขได้ ก็เมื่อราษฎรเป็นสุข ถ้าราษฎรมีความทุกข์ พระราชาจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร แม้พระเวสสันดรจะเป็นลูกของเราก็ตาม” ในที่สุดพระเวสสันดรและพระมเหสี พร้อมด้วยพระโอรส ธิดา ก็เสด็จออกจากเมืองไป ขณะที่เดินทางก็มีพราหมณ์มาดักเฝ้าขอม้าและราชรถที่ประทับ ก็โปรดประทานโดยมิได้ขัด จากนั้นทุกพระองค์ก็เสด็จโดยพระบาทต่อไปยังเขาวงกต เมื่อถึงบริเวณสระโบกขรณีอันเป็นที่ร่มรื่น ทุกพระองค์ก็ทรงผนวชเป็นฤษี บำเพ็ญพรตภาวนา ณ ที่นั้น


ประเด็นที่น่าสนใจจากเรื่องราว


    1. ความเชื่อที่ปรากฎในตำนาน

          - เชื่อว่าพระเวสสันดร คือ พระโพธิสัตว์ที่เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร เพื่อบำเพ็ญเพียรบารมีอันยิ่งใหญ่
          - เชื่อว่าช้างปัจจัยนาค ช้างเผือกเพศผู้มีอำนาจพิเศษอยู่ที่ใดก็จะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล มีความอุดม สมบูรณ์
    2. คุณค่าของภูมิปัญญา
       2.1 ด้านศาสนา

                  - คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ในเรื่องนี้จะเห็นว่ามีศาสนาฮินดูรวมอยู่ด้วย จากข้อความ “...ส่งพราหมณ์แปดคนไปแคว้นสีวี” ส่วนภูมิปัญญาในการสืบทอดพุทธศาสนาให้มั่งคง น่าจะเป็นการเล่าเรื่องสืบ ต่อกันมาทำให้ได้รู้พระจริยวัตรขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า

       2.2 ด้านสังคม
                  - ทำให้ตระหนักถึงการให้ การเสียสละ เพื่อมุ่งหวังให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ และตัวผู้ให้เองก็จะได้รับความสุข สังคมก็ จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ไม่ขัดแย้งและชิงดีชิงเด่นกัน


แนวทางการอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญา

         พระเวสสันดร เป็นเรื่องราวที่นำเสนอในรูปแบบ ชาดก หมายถึง การที่พระพุทธเจ้าเวียนว่ายตายเกิด ถือเอากำเนิดในชาติต่างๆ บำเพ็ญเพียรบารมีก่อนจะตัรสรู้เป็นพระศาสดาของศาสนาพุทธ ดังนั้นการอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาพระเวสสันดร จึงน่าจะเป็นการสืบทอดด้วยประเพณี เช่น ประเพณีงานบุญพระเวส บุญเดือนสี่ หรือบุญเทศน์มหาชาติ หมายถึงบุญอันยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับพระมหาเวสสันดรชาดกนั่นเอง โดยรวมกัณฑ์ต่างๆ มาเทศน์ให้อุบาสก อุบาสิกาฟัง จากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษนี้สะท้อนให้เห็นถึงความศรัทธาอันแรงกล้าในพระพุทธ ศาสนา ที่ยึดถือปฏิบัติต่อกันมาช้านาน เกิดเป็นประเพณีที่สำคัญจนถึงปัจจุบัน

พระธรรมศาสตร์

พระธรรมศาสตร์
 



สมุดไทยเรื่องพระธรรมศาสตร์นี้ ว่าด้วยเรื่องของบทลงโทษ ข้อตกลง การปรับสินไหม ในคดีต่างๆ เป็นกรณีไป ตามแต่ละมาตรา เช่น การทะเลาะวิวาท การบุกรุกพื้นที่ การลักทรัพย์ การด่าทอด้วยคำหยาบคาย การกู้ หนี้ยืมสิน การข่มขู่ การซื้อที่ดินไร่นา เป็นต้น ที่มา : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)


 บทบัญญัติต่างๆ ในกฎหมายตราสามดวง โดย นายกฤษฎา บุณยสมิต
          คำว่า “กฎหมาย” ใน สมัยนั้น มิได้หมายถึงตัวบทกฎหมายดังที่เข้าใจกันในปัจจุบัน แต่หมายถึงการ จดบันทึกไว้เป็นหลักฐาน หรือทำหนังสือไว้เป็นหลักฐาน ส่วนคำที่หมายถึงตัวบท กฎหมาย จะใช้ว่า พระไอยการ  พระราชบัญญัติ  พระราชกฤษฎีกา  พระราชกำหนด  และกฎ  ดังจะเห็นได้จากตัวบทกฎหมายลักษณะต่างๆ ที่ประมวลไว้ในกฎหมายตราสามดวง

          สาระสำคัญของกฎหมายตราสามดวงประกอบด้วยส่วนต่างๆ รวม ๒๖ ส่วน ดังนี้


ประกาศพระราชปรารภ
          คือ การประกาศถึงเหตุผลและความจำเป็นในการรวบรวมชำระสะสางตัวบทกฎหมายต่างๆ ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น นำมารวมเข้าไว้เป็นกฎหมายตราสามดวง เพื่อใช้เป็นหลักในการอำนวยความยุติธรรม ให้แก่ราษฎร และเน้นถึงความสำคัญของดวงตราประทับว่า ตัวบทกฎหมายที่ชำระเสร็จ สามารถใช้บังคับและอ้างอิงได้  ต้องมีตราพระราชสีห์ ตราพระคชสีห์ และตราบัวแก้วประทับไว้ที่กฎหมายเท่านั้น หากไม่มีตราสามดวงนี้ ห้ามมิให้เชื่อฟังเป็นอันขาด


พระธรรมศาสตร์
          เริ่มด้วยการกล่าวถึงตำนานการตั้งแผ่นดิน การกำเนิดมนุษย์การกำเนิดรัฐ และ เจ้าผู้ครองรัฐ  การพบคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เมื่อพระมโนสารฤาษี เหาะไปที่กำแพงจักรวาล ได้พบรอยจารึกเป็นภาษาบาลีตัวโตเท่ากายช้างสาร แล้ว จดจำมาบันทึกเป็นคัมภีร์พระธรรมศาสตร์  มอบให้พระเจ้าแผ่นดินใช้เป็นหลักใน การดำรงความยุติธรรมในแผ่นดิน ส่วนนี้เป็นไปตามคติความเชื่อของอินเดีย ซึ่ง มอญและไทยได้รับอิทธิพลมาตามลำดับ

          ในส่วนสำคัญของพระธรรมศาสตร์ที่เป็นสาระสำคัญทางกฎหมาย ได้แก่ การวาง บทบัญญัติที่เป็นหลักการในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้เป็นผู้พิพากษาตุลาการ ใน การตัดสินคดีข้อพิพาททั้งหลายของราษฎร โดยผู้ที่เป็นผู้พิพากษาตุลาการที่ดี ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้แตกฉานในข้อกฎหมาย และรู้เท่าทันข้อเท็จจริง  ตั้งแต่มูลเหตุแห่งคดีทั้งหลาย ฐานะแห่งคดีตามสภาพแห่งข้อหา   ข้ออ้าง และข้อต่อสู้คดี การวางตนให้คู่ความเชื่อถือและเชื่อฟังความไม่ เกียจคร้านในหน้าที่ ความมั่นคงในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นอิสระ ไม่ยอมให้มีการแทรกแซงจากฝ่ายใด การใช้ดุลพินิจได้อย่างถูกต้อง ถูก กฎหมาย โดยเสมอภาค  และการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง รวม ทั้งเนื้อความว่าด้วยมูลคดี ซึ่งมี  ๒  ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่  มูลคดี แห่งผู้พิพากษาตุลาการ ๑๐ ประการ และมูลคดี แห่งบุคคลอันเกิดพิพาทกันรวม  ๒๙ ประการ




หลักอินทภาษ
           เป็น การวางหลักธรรมในการดำรงตนและการปฏิบัติหน้าที่ของ ผู้พิพากษาตุลาการว่า ผู้พิพากษาตุลาการต้องพิจารณาตัดสินอรรถคดีด้วยความ เที่ยงธรรม ปราศจากความลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใด อันเกิดจากอคติ ๔ ประการ ได้แก่ ฉันทาคติ คือ ลำเอียงเพราะรักชอบเห็นแก่อามิสสินบน โทษาคติ คือ ลำเอียงเพราะโกรธ  ภยาคติ คือ ลำเอียงเพราะกลัว และโมหาคติ คือลำเอียงเพราะหลง  และเปรียบเทียบว่า  ผู้พิพากษาตุลาการที่ตัดสินคดีความโดยลำเอียงขาดความเที่ยงธรรม เป็นผู้มี บาปกรรมอันหนักยิ่งกว่าบาปอันเกิดจากการฆ่าประชาชนผู้หา ความผิดมิได้และผู้ทรงศีลจำนวนมากเสียอีก แม้จะทำบุญมากมายจนมิอาจประมาณ ได้ ก็ยังไม่อาจลบล้างบาปกรรมนี้ได้  นอกจากนี้ผู้พิพากษาตุลาการต้องเป็นผู้รอบรู้และเชี่ยวชาญในขั้นตอนของวิธี พิจารณาความในศาลตั้งแต่รับและตรวจคำฟ้อง คำให้การ ให้รู้กระจ่างว่าส่วนใด เป็นข้อสำคัญ ส่วนใดเป็นข้อปลีกย่อย   การกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่เรียกว่า ชี้สองสถาน พิเคราะห์คำพยานต่างๆ เพื่อ ค้นหาความจริงให้ได้ เสมือนนายพรานล่าเนื้อตามแกะรอยสัตว์ที่ล่าจนได้ ตัว การตัดสินคดีต้องถูกต้องแม่นยำ ประดุจเหยี่ยวโฉบจับปลาตัวที่มุ่งหมาย ไว้ ต้องยึดถือพระธรรมศาสตร์และหลักกฎหมายทั้งปวงเป็นหลักมั่น และตัดสิน ความด้วยกิริยาอันองอาจประดุจพญาราชสีห์

          หลักอินทภาษจึงแฝงไว้ทั้งหลักธรรมแห่งผู้พิพากษาตุลาการพึงยึดถือ ปฏิบัติ และคติความเชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษอันเกิดแก่ ผู้ที่ปฏิบัติและไม่ปฏิบัติตามหลักอินทภาษนี้




กฎมนเทียรบาล
          เนื้อหาโดยรวมของกฎมนเทียรบาลตามกฎหมายตราสามดวง เป็นบทบัญญัติต่างๆ เกี่ยวกับพระราชฐานพระราชวงศ์   การถวายความปลอดภัยแด่องค์  พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกหลาย ประการ แต่มิได้มีบทบัญญัติที่ชัดเจนในการกำหนดลำดับชั้นผู้ควรสืบราชสันตติ วงศ์ไว้อย่างชัดเจน เพียงแต่กำหนดลำดับชั้นเครื่องอิสริยยศลำดับที่นั่งขณะ เข้าเฝ้า และหลักปฏิบัติต่างๆ ของพระราชโอรสอันเกิดจากพระมารดาที่มีศักดิ์ฐานะต่างกันไว้ มีการกล่าวถึง ลำดับชั้นและเครื่องอิสริยยศของพระราชโอรส  พระมเหสี และเจ้านายในราชสำนัก ลำดับศักดิ์และเครื่องยศของข้าราชการชั้น ผู้ใหญ่ กฎและ ระเบียบปฏิบัติต่างๆ ในพระบรมมหาราชวัง และเขตพระราชฐาน ตลอดจนขบวนเสด็จต่างๆ การบำเหน็จรางวัล แก่ผู้มีความชอบ และการลงโทษผู้ที่มีความผิดในราชการต่างๆ เช่น ราชการ สงคราม การปฏิบัติตน การรักษาวินัยของข้าราชการ และการลงโทษข้าราชการที่ กระทำผิด พระราชานุกิจ อันเป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับหมายกำหนดการประจำวัน ในการประกอบพระราชานุกิจ ของพระเจ้าแผ่นดินในช่วงกลางวันและช่วงกลางคืน ซึ่งมีมากมาย อันเป็นสิ่ง แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินของไทยแต่โบราณกาลมาแล้ว ทรงมีเวลาบรรทมและพักผ่อนเป็นการส่วนพระองค์น้อยมาก มีรายละเอียดและลักษณะ เครื่องแต่งกายของกษัตริย์เจ้านายในราชสำนัก และข้าราชการระดับต่างๆ ไว้ พระราชพิธีต่างๆ ที่ต้องประกอบเป็นประจำในแต่ละเดือนครบทั้งสิบสองเดือน ดังที่เรียกว่า พระราชพิธีสิบสองเดือน การ ลงพระราชอาญาแก่พระราชโอรส  พระสนม และเจ้านายในราชสำนัก  ตลอดจนการใช้ราชาศัพท์ในการเรียกเครื่องอุปโภคทั้งปวงของพระมหากษัตริย์ และ ที่ใช้ในการสื่อสารกับพระมหากษัตริย์

          นักประวัติศาสตร์ได้สันนิษฐานว่า กฎมนเทียรบาลนี้คงมีมาแต่สมัยอยุธยาตอนต้น แล้ว และมีข้อน่าสังเกตว่าหลักการและข้อบัญญัติต่างๆ ในกฎมนเทียรบาล  มิได้มีการอ้างอิงว่านำมาจากหลักในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ของ อินเดียและมอญแต่อย่างใด จึงเป็นกฎหมายที่แสดงให้เห็นถึงรากฐานขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมไทย ที่สร้างสมสืบต่อกันมายาวนาน




ฎมณเฑียรบาลมีบทบัญญัติต่างๆเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์ ในภาพคือการทรงเครื่องโสกันต์ของพระบรมวงศานุวงศ์ในพิธีโสกันต์
พระธรรมนูญ
          กฎหมายลักษณะพระธรรมนูญตอนต้น บัญญัติถึงหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่ว่าด้วยเขตอำนาจศาลต่างๆ ในการพิจารณาพิพากษาคดีแต่ละประเภท  ตลอดจน อำนาจหน้าที่ของขุนนางตำแหน่งต่างๆ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาตุลาการ การเริ่มต้นคดีต้องทำการฟ้องร้องให้ถูก ต้องตามเขตอำนาจศาล และต้องฟ้องยังหน่วยราชการที่มีโรงศาลในสังกัดเท่า นั้น ซึ่งมีหลายแห่งที่    ผู้ว่าราชการกรมไม่มีโรงศาลในสังกัด จึงไม่มีอำนาจรับฟ้องคดีได้

          บทบัญญัติในตอนกลางและตอนปลายเป็นการบัญญัติอำนาจหน้าที่ของข้าราชการใหญ่ น้อยทั่วราชอาณาจักรทั้งฝ่ายทหารและ ฝ่ายพลเรือน ในการปฏิบัติราชการตามหน้าที่ โดยสื่อความหมายผ่านทางตราประจำ ตำแหน่ง ในส่วนนี้หากเปรียบเทียบกับกฎหมายปัจจุบัน ก็คือ กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน และอำนาจหน้าที่ของกระทรวงทบวง กรมต่างๆ นั่นเอง



พระอัยการกรมศักดิ์
          เป็นบทบัญญัติ เกี่ยวกับการกำหนดค่าตัวของบุคคลตามเพศ วัย  และสถานะต่างๆ เมื่อต้องคิดค่าสินไหม ทดแทนกรณีทำให้ผู้อื่นเสียหายแก่ชีวิตหรือ ร่างกาย และเป็นบทบัญญัติที่ว่าด้วยหลักเกณฑ์ที่ผู้พิพากษาจะกำหนดค่าสินไหม ทดแทนและค่าปรับในกรณีต่างๆ โดยยึดศักดินาของผู้เสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง และผู้ทำให้เกิดความ เสียหายดังกล่าวเป็นหลัก


พระอัยการตำแหน่งนาพลเรือน
          กฎหมายลักษณะนี้รวมทั้งพระอัยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง ไม่มีการอ้างอิงว่า มาจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์แต่อย่างใด  จึงเป็นกฎหมายในส่วน “พระราชนิติศาสตร์หรือพระราชนิติคดี” อันเกิดจากรากฐานวัฒนธรรม ประเพณีการ ปกครอง และภูมิปัญญาของชนชาติไทยที่สั่งสมกันมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน จน บัญญัติเป็นกฎหมายที่เป็นการกำหนดศักดินา ตำแหน่ง ยศ และหน้าที่ ของข้าราชการไทยโบราณ โดยแบ่งเป็น ๒ ฝ่ายใหญ่ๆ  คือ ฝ่ายพลเรือน และฝ่ายทหาร พระอัยการตำแหน่งนาพลเรือนเป็นกฎหมายที่กำหนด ตำแหน่ง  ยศ  และหน้าที่ของข้าราชการฝ่ายหน้า ซึ่งเป็นข้าราชการฝ่ายพลเรือน  กำหนดศักดินาและหลักเกณฑ์การลงโทษเจ้านายเชื้อพระวงศ์ระดับสูง กำหนดศักดินา และหน้าที่ของข้าราชการฝ่ายในต่างๆ ไว้ด้วย พระบรมวงศานุวงศ์ที่มีศักดินาสูงสุดคือ พระมหาอุปราช ดำรงศักดินา สูงถึง ๑๐๐,๐๐๐

          ข้าราชการฝ่ายหน้าซึ่งเป็นข้าราชการฝ่ายพลเรือนระดับสูงสุดคือ “เจ้าพญาจักรีศรีองครักษ” สมุห นายกซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดี ถือศักดินาสูงเป็นพิเศษ เรียกว่า ถือศักดินา ๑๐ ,๐๐๐ เอกอุราชสีห ถือตรา“พระราชสีห์” เป็นผู้บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทั้งปวง ตราพระราชสีห์คือ ตราสำคัญดวงแรกในตราสามดวง

          ตำแหน่งโกษาธิบดี หรือเจ้าพระยาพระคลัง มี  “ออกพญาศรีธรรมราชฯ”  เป็น ผู้ปกครอง มีหน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองชายทะเลตะวันออก ศักดินา ๑๐,๐๐๐ ถือ ตรา “บัวแก้ว” ก็กำหนดไว้ในพระอัยการตำแหน่งนาพลเรือนเช่นกัน



พระอัยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง
          เป็นกฎหมายที่กำหนดศักดินา ยศ และหน้าที่ของข้าราชการฝ่ายทหาร รวมทั้งข้าราชการหัวเมือง ตำแหน่งสูงสุดคือ  “เจ้าพญามหาเสนาบดีฯ” สมุห พระกลาโหม ซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีอีกตำแหน่งหนึ่ง มีหน้าที่บังคับบัญชาหัว เมืองฝ่ายใต้ทั้งปวง ถือศักดินา ๑๐,๐๐๐ เป็นผู้ถือตราพระคชสีห์ ตราสำคัญดวง ที่  ๒ ในตราสามดวง

          นอกจากนี้ในพระอัยการตำแหน่งนา ทหารหัวเมือง ยังมีการเทียบศักดินากับพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนาด้วย  เช่น สามเณรรู้ธรรมและไม่รู้ธรรมมีศักดินาเทียบเท่าฆราวาสผู้มี ศักดินา ๓๐๐ และ  ๒๐๐ ตามลำดับ พระภิกษุรู้ธรรมและไม่รู้ธรรมมีศักดินาเทียบ เท่าฆราวาสผู้มีศักดินา ๖๐๐  และ ๔๐๐  ตามลำดับ

          กฎหมายทั้งพระอัยการตำแหน่งนาพลเรือนและพระอัยการตำแหน่งนาทหารหัว เมือง กำหนดให้คนระดับล่างสุดของสังคม คือ ยาจก วณิพก และทาสลูกทาส ถือ ศักดินาคนละ ๕  ด้วย แสดงว่าศักดินา  ๕  คือ คนระดับต่ำที่สุดในสังคมไทย



พระอัยการบานผแนก
          เป็นกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งปันกำลังพลของฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ตามลักษณะการปกครองสมัยโบราณ โดยแบ่งกำลังพลเป็น “สมใน” คือผู้ที่เป็นฝ่ายใน และ “สมนอก”  คือผู้ที่เป็นฝ่ายหน้า

          กำลังพลดังกล่าวต้องมีสังกัด “มูลนาย” คือผู้มีศักดินาเกิน ๔๐๐ ขึ้นไป ได้แก่ เจ้าพระยา  พระยา  พระมหาราชครู พระ  หลวงเมือง เจ้าราชนิกุล  ขุนหมื่น  พันทนาย ซึ่งมีหลักฐานสำคัญคือ “ทะเบียนหางว่าว” แสดง หมู่ไพร่หลวง ไพร่สม  ทั้งที่เป็นไทและเป็นทาส จึงเป็นกฎหมายที่กำหนดให้มูลนายทำทะเบียนหางว่าว ไพร่หลวง ไพร่สม ทาสที่อยู่ในสังกัด และแจ้งให้แก่ทางการอย่างถูกต้อง

          นอกจากนี้กฎหมายฉบับนี้ยังกำหนดเรื่องการแบ่งปันบุตรชายหญิงที่เกิดจากกำลัง พล ที่ฝ่ายพ่อและแม่เป็นทหารด้วยกัน หรือเป็นพลเรือนด้วยกัน หรือพ่อเป็นทหาร แม่เป็นพลเรือน  หรือพ่อเป็นพลเรือน แม่เป็นทหาร พ่อและแม่อยู่สังกัดเดียว กัน  หรืออยู่ต่างสังกัดกัน



ทะเบียนหางว่าว
พระอัยการลักษณะรับฟ้อง
          กฎหมายลักษณะนี้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับคุณสมบัติ ของผู้มีความสามารถและมีอำนาจฟ้องคดี เช่น คนวิกลจริตบ้าใบ้ คนตาบอด คนขอ ทาน  คนสูงอายุหลงใหลแล้ว เด็กอ่อนอายุยังไม่รู้ความ มาฟ้องร้องเรื่องใด ผู้เป็น ตุลาการต้องไต่สวนก่อนว่าคดีมีมูลหรือไม่ จะรับฟ้องทันทีมิได้ หรือบุคคลภายนอกจะนำคดีที่มิใช่คดีของตนและคดีที่มิใช่เป็นคดีของบิดามารดา ปู่ย่าตา ยายลุงป้าน้าอาบุตรภรรยาพี่น้องของตนมาฟ้องเป็นคดีมิได้ นอกจากนี้ยังกำหนด ลักษณะต้องห้าม ซึ่งเป็นเหตุตัดฟ้อง ๒๐ ประการ ซึ่งเมื่อคู่ความยกเหตุตัดฟ้องประการใดประการหนึ่งขึ้น ต่อสู้ ตุลาการต้องยกฟ้องทันที เช่น ตัดฟ้องว่าเป็นคดีอุทลุมคือ บุตรหลานมาเป็นโจทก์ฟ้องพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นจำเลย หรือเป็นญาติพี่น้อง เจ้ามรดกผู้ตาย แต่ได้ความว่ามิได้ช่วยรักษาพยาบาลและทำศพเจ้ามรดก กลับมา ฟ้องร้องเรียกมรดก ถ้าได้ความดังนี้ ตุลาการต้องยกฟ้องทันที ลักษณะตัดสำนวนซึ่งเป็นกรณีที่ศาลรับฟ้อง แล้ว ระหว่างพิจารณาหากคู่ความมีการกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเป็นข้อ ห้าม ถือเป็นการตัดสำนวน     ผู้ละเมิดข้อห้ามเป็นฝ่ายแพ้คดี เช่น คดีฝ่ายที่ถูกพบหลักฐานว่า ให้สินจ้างสินบนตุลาการให้เข้าข้างตน ต้องถูกปรับเป็นแพ้คดี  หรือตุลาการนัดคู่ความฝ่ายใดพิจารณาเรื่องใดฝ่ายนั้นขาดนัดถึง ๓ ครั้ง ต้องถูกปรับให้แพ้คดี

          กฎหมายฉบับนี้ยังบัญญัติถึงลักษณะตัดพยานอันเป็นการปฏิบัติโดยมิชอบเกี่ยว กับพยานในการพิจารณาคดี เช่น แนะนำเสี้ยมสอนให้พยานให้การเข้าข้างตน ขู่เข็ญพยานผู้ปฏิบัติดังกล่าวต้อง ถูกปรับให้แพ้คดี และการประวิงความ โดยกระทำการหน่วงเหนี่ยวแกล้งให้คดีความ เกิดล่าช้า เช่น ไม่ยอมมาศาล อ้างว่าป่วย แต่ความจริงสบายดี  ศาลตรวจพบว่าไม่จริง  ฝ่ายที่หน่วงเหนี่ยวจะถูกปรับคดีเป็นแพ้ สุดท้ายคือ ลักษณะว่าต่างแก้ต่างแทนกัน หมายถึงการกำหนดประเภทคดีที่บุคคลสามารถเข้ามา ฟ้องคดีหรือต่อสู้คดีแทนผู้เสียหายหรือผู้ถูกกล่าวหาได้ และการห้ามมิให้ เข้ามาฟ้องคดีหรือสู้คดีแทนกัน ในคดีบางประเภท เช่น การทำเงินตราปลอม การวางเพลิง การเป็นชู้



พระอัยการลักษณะพยาน
          กฎหมายลักษณะพยานกล่าวถึงความสำคัญของพยานที่มีต่อคดี และบาปบุญคุณโทษ อัน ได้แก่  พยานที่เบิกความตามจริง และผู้เป็นพยานเท็จ ผู้พิพากษาต้องมีความรู้ความเข้าใจในลักษณะพยาน บุคคล ๓๓ จำพวกที่ไม่ให้ฟังเป็นพยาน เว้นแต่คู่ความยินยอม เช่น พยานที่เป็น คนจรจัด คนขอทาน เด็กไม่รู้ความ และได้กำหนดลักษณะพยานบุคคลที่เรียงตาม ลำดับความน่าเชื่อถือจากมากไปหาน้อย  ๓ จำพวก  คือ  ทิพพยาน ได้แก่  พยานที่เป็นพระภิกษุผู้ทรงศีล  นักปราชญ์ราชบัณฑิต และขุนนางผู้มี บรรดาศักดิ์ อุดรพยาน ได้แก่  ข้าราชการผู้น้อย พ่อค้า ประชาชน และอุตริพยาน ได้แก่  พี่น้องเพื่อนฝูงของ คู่ความ และคนหูหนวกตาบอด  คนเป็นโรคร้าย  คนขอทาน การสืบพยานและการรับฟังพยานในกรณีต่างๆ



จิตรกรรมฝาผนังวัดโสมนัสวิหาร แสดงภาพการจำขื่อคนและเฆี่ยนตีเพื่อสอบสวนคนร้าย
กฎหมายพิสูจน์ดำน้ำพิสูจน์ลุยเพลิง
          กฎหมายฉบับนี้เป็นมาตรการสุดท้ายที่จะหาเกณฑ์ตัดสินข้อแพ้ชนะในระหว่างคู่ ความโดยยึดถือปรากฏการณ์ที่เหนือหรือเกินเกณฑ์มาตรฐานตามธรรมชาติเป็นตัวชี้ วัด เช่น วิธีให้คู่ความลุยเพลิงถ่านไฟหนา ๑  คืบ ยาว  ๖  ศอก กว้าง ๑   ศอก   ฝ่ายใดฝ่าเท้าไม่พองเป็นฝ่ายชนะ  แต่ก่อนจะมาถึงวิธีการนี้ คดีดังกล่าวได้ ผ่านกระบวนพิจารณาที่ควรจะทำมาทั้งหมดแล้ว   แต่ปรากฏว่าคดีดังกล่าว ขาดทั้งประจักษ์พยาน  พยานแวดล้อม  และพยานหลักฐานอื่นๆ ไม่อาจค้นหาความจริงได้ จึงยอมให้ใช้วิธีพิสูจน์ซึ่งมี ๗ ประการ  ได้แก่ ๑. ล้วงตะกั่ว  ๒. สาบาน  ๓. ลุยเพลิงด้วยกัน ๔. ดำน้ำด้วยกัน  ๕. ว่ายขึ้นน้ำแข่งกัน  ๖.ว่ายข้ามฟากแข่งกัน ๗. จุดเทียนคนละเล่ม แล้วดูว่าผู้ใดหมดก่อน เป็นเกณฑ์แพ้ชนะกันกฎหมายลักษณะนี้สะท้อนให้เห็นความ เชื่อถือในอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และอำนาจเหนือธรรมชาติที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทยมาช้านานแล้ว



พระอัยการลักษณะตุลาการ
          กฎหมายฉบับนี้มีที่มาจากการสำแดงลักษณะอคติ  ๔  ประการ ได้แก่ ฉันทา คติ โทสาคติ  ภยาคติ  และโมหาคติ ที่ผู้เป็นผู้พิพากษาตุลาการต้องกระทำตนให้สามารถปฏิบัติ หน้าที่ได้เที่ยงตรง  ไม่ลำเอียงไปโดยอคติ ๔  ดังกล่าว  รวมทั้งกำหนดรายละเอียดที่เกี่ยวกับข้อพึงปฏิบัติ  ข้อ ห้าม ข้อกำหนดต่างๆ ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาเจ้าพนักงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง   ตลอดจนคู่ความ



พระอัยการลักษณะอุทธรณ์
          เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการดำเนินกระบวนพิจารณาลักษณะต่างๆ  ในศาลชั้นต้นอันเป็นเหตุให้อุทธรณ์คดีต่อศาลสูงได้ รวมทั้งผลที่จะเกิดแก่ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น และคู่ความกรณีที่รับฟังได้หรือไม่ได้ในการ อุทธรณ์ โดยเฉพาะกรณีที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นทำงานผิดพลาด ตัดสินความไม่ ยุติธรรม จะถูกลงโทษ และต้องรับผิดในค่าเสียหายที่เกิดแก่คู่ความฝ่ายที่ เสียหายด้วย



พระอัยการลักษณะผัวเมีย
          เป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของบุคคลในครอบ ครัว ได้แก่  สามี  ภริยา บุตร  บิดามารดา ทั้งในทางแพ่งและทางอาญา เช่น  การสมรส  การเป็นชู้  (ใช้เฉพาะหญิงผู้เป็นภรรยามีชู้)  การข่มขืนกระทำชำเราหญิง และเด็กหญิง    ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา การชดใช้ค่าเสียหาย และการลงโทษในกรณี ละเมิดข้อห้ามต่างๆ ทางกฎหมาย



พระอัยการทาส
          เป็นบทบัญญัติ เกี่ยวกับลักษณะทาส  ๗  ประการ ได้แก่ ทาสที่เกิดในเรือนเบี้ย ทาสได้มาข้างบิดามารดา ทาสมีผู้ให้   ทาสที่ได้ช่วยเมื่อต้องโทษทัณฑ์ ทาสที่เลี้ยงดูมาในยามข้าวยากหมากแพง  ทาสเชลย  และทาสสินไถ่ การตกเป็นทาสประเภทต่างๆ  การตั้งค่าตัว  การไถ่ถอนการปฏิบัติ ตน  สิทธิหน้าที่ของทาสประเภทต่างๆ ระหว่างทาสกับนายเงิน และผู้ที่เกี่ยวข้อง และอื่นๆ  รวมทั้งกำหนดว่าทาสคือ คนของพระมหากษัตริย์  ที่นายเงินจะลงโทษถึงตายไม่ได้


สัญญาซื้อขายทาสในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระอัยการลักษณะลักพาลูกเมียผู้คนท่าน
          เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานลักพาเอาข้าคน ลูกเมีย ทาส ของผู้อื่นไปในลักษณะต่างๆ เช่น  ถ้าลักพาลูกเมียผู้อื่นไปซ่อนไว้ในเรือน จะถูกปรับไหม และลงโทษในอัตรา หนึ่ง หากลักพาหนีไปนอกเมือง จะถูกปรับไหม และลงโทษในอีกอัตราหนึ่ง


พระอัยการลักษณะมรดก
          เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการจัดการและแบ่งปันทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกผู้ที่เป็น ขุนนางมีบรรดาศักดิ์ พ่อค้า และประชาชนธรรมดาให้แก่ทายาทโดยธรรม เช่น  คู่สมรสระดับต่างๆ ได้แก่  ภริยาพระราชทาน ภริยาสู่ขอ อนุภริยา ทาสภริยา  และบุตรที่เกิดจากภริยาต่างๆ การทำบัญชีทรัพย์มรดก การทำพินัยกรรม


พระอัยการลักษณะกู้หนี้
          เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินกันในลักษณะต่างๆ  ๑๓  ประการ   เช่น การกู้เงินระหว่าง ผู้มีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติกัน ได้แก่ บุตร  บุตรเขย  ลูกสะใภ้  พี่น้อง หลานข้างบิดาหรือข้างมารดา หลานเขย  ภรรยาหลวง ภรรยาน้อย หากกู้ยืมเงินกัน ต่างฝ่ายต่างมีสิทธิและหน้าที่ต่อกัน อย่างไร  รวมทั้งการกู้เงินในลักษณะทั่วไป  และลักษณะอื่นๆ



พระอัยการเบ็ดเสร็จ (เบ็ดเตล็ด)
          เป็นบทบัญญัติที่ครอบคลุมเรื่องต่างๆ หลายด้าน เช่น บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ความรับผิดชอบ และการชดใช้ ค่าเสียหายอันเกิดจากทำไร่  ทำนา  ทำสวนรุกล้ำกินแดน กันหรือเกิดจากการกระทำของสัตว์พาหนะ เช่น  ช้าง  ม้า วัว   ควาย นอกจากนั้นยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการยืม การฝากทรัพย์ การซื้อ ขาย  การเช่า การเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับ การจราจรทั้งทางบก เช่น เกวียนโดนกัน และทางน้ำ เช่น เรือโดนกัน การเล่นการ พนัน แม้กระทั่งการเกิดอันตรายจากการทำไสยศาสตร์ การกระทำคุณไสย การวางยา พิษ และการทำให้แท้งลูก เนื่องจากมีบทบัญญัติหลากหลายมาก จึงเรียกชื่อว่า  พระอัยการเบ็ดเสร็จ (เบ็ดเตล็ด)


พระอัยการลักษณะวิวาทตีด่ากัน
          เป็นบทบัญญัติถึงการกระทำความผิดทะเลาะวิวาทด่าทอกัน และทำร้ายร่างกายกัน  ทั้งที่เป็นการชกต่อยกัน หรือใช้อาวุธทั้งของมีคม และไม่มีคมทำร้ายกัน เป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายหรือ บาดเจ็บสาหัส หรือถึงแก่ความตาย โดยแบ่งลักษณะการกระทำผิดเป็นหลายลักษณะ และกำหนดโทษ และค่าเสียหายสำหรับการกระทำแต่ละลักษณะไว้แตกต่างกัน  และมีบทบัญญัติที่แสดงถึงผู้ใหญ่ต้องมีเมตตา และผู้น้อยควรให้ความเคารพ ผู้ใหญ่ การให้อภัยและการรักษาความสัมพันธ์ภายในครอบครัวอันเป็นลักษณะของคน ไทย เช่น  ในกรณีที่เกิดการทะเลาะกันในครัวเรือนระหว่างพ่อตา แม่ยาย ลูกเขย ลูก สะใภ้ พ่อผัว แม่ผัว เมียหลวง เมียน้อย ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา หากผู้เสีย หายไม่ได้รับอันตรายถึงสาหัส  ให้ผู้ปกครองบ้านเมือง เช่น  นายร้อย  นายแขวง  นายอำเภอ ว่ากล่าวตามความผิดและตามลำดับการเป็นผู้ใหญ่ผู้น้อย  โดยให้ขอขมาทำขวัญกัน หรือหากผู้ใหญ่บันดาลโทสะตีทารกก็จะต้องเสียค่าเสีย หายเป็นทวีคูณ



พระอัยการลักษณะโจร
          เป็นบท บัญญัติในการกระทำผิดทางอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ ที่มีลักษณะการกระทำผิด หนักเบาแตกต่างกัน โดยคำนึงถึงตัวทรัพย์ที่ถูกประทุษร้าย ตัวเจ้าทรัพย์ และ องค์ประกอบอื่นๆ เพื่อมีบทกำหนดโทษที่แตกต่างกัน

          มีการแบ่งโจรออกเป็น ๘ จำพวก ซึ่งประกอบด้วย “องคโจร” รวม ๓ จำพวก และ “สมโจร” รวม  ๕  จำพวก องคโจร ๓ จำพวก ได้แก่  ผู้เป็นตัวการกระทำเอง ผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำ และผู้สั่งสอนวิชาโจร ส่วนสม โจร ๕ จำพวก ได้แก่ ผู้ให้ที่พักแก่โจร  ผู้เป็นมิตรสหายกับโจร ผู้สมรู้ร่วมคิดกับโจร ผู้ให้ที่กำบังหลบซ่อนแก่ โจร และผู้อยู่กินอาศัยกับโจร การกระทำผิดก็มีทั้งการปล้น การชิง การ ลัก ซึ่งบางกรณีมีการทำร้ายเจ้าทรัพย์ถึงแก่ความตาย  ตลอดจนการกระทำผิดขั้นอุกฤษฏ์โทษต่างๆ     เช่น ลักพระพุทธรูป หรือลอกของมีค่าที่องค์พระ เช่น  เอาองค์พระพุทธรูปทองไปเผาเพื่อลอกเอาทอง โดยการกำหนดโทษจะหนักเบาลดหลั่นไป ตามลักษณะการกระทำผิด



พระอัยการอาชญาหลวง
          เป็นบทบัญญัติไม่ให้ขุนนาง และราษฎรทำการใดๆ ที่เป็นการล่วงละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ ได้แก่ การละเมิดพระราชโองการ  พระราชบัญญัติ และพระราชเสาวนีย์ การกระทำผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ การ เบียดบังลักพระราชทรัพย์และค่าภาษีค่าธรรมเนียมต่างๆ หรือการกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ การกระทำที่เป็นภยันตรายแก่ประชาชน และความผิดอื่นๆ  เช่น  กระทำทุจริตเกี่ยวกับการเกณฑ์กำลังพลไปใช้ในราชการสงคราม การใช้กำลังอาวุธ เข้าข่มขู่กรรโชกทรัพย์แก่ราษฎรให้ได้รับความเดือดร้อน การปฏิบัติหน้าที่ ราชการทั้งในฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนโดยมิชอบหรือโดยทุจริต



พระอัยการอาชญาราษฎร์
          เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระทำต่างๆ ที่เป็นการข่มเหงราษฎรด้วยกัน  เช่น  ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้และหลบหนี้เจ้าหนี้  เมื่อเจ้าหนี้ไปพบเข้าก็ใช้กำลังจับกุมมาจองจำเอาไว้โดยพลการ ไม่มอบให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเป็นผู้ดำเนินการ รวมทั้งการกระทำความผิดฐาน ทำให้เสียทรัพย์ เช่น ไปทำลายพืชผล  รั้วหรือบ้านเรือนผู้อื่นให้เสียหาย



พระอัยการกบฏ
          คำว่า กบฏ ศึก  ตามกฎหมายฉบับนี้  มิได้หมายความเฉพาะการยึดอำนาจปกครองประเทศจากองค์ พระมหากษัตริย์เท่านั้น  แต่รวมถึงการกระทำลักษณะร้ายแรงต่างๆ  ทั้งที่มีผลต่อความมั่นคงในราช อาณาจักร และเป็นการกระทำผิดในลักษณะที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม อันดีของประชาชนอย่างร้ายแรง เช่น ปล้นพระนคร เผาพระราชวัง  ปล้นและ เผาวัด  ฆ่าบิดามารดาครูบาอาจารย์  ลักพา กระทำทารุณตัดมือตัดเท้า และฆ่า เด็กทารก โทษที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำผิดที่มีลักษณะรุนแรงให้ผู้ถูกลงโทษ ได้รับความทรมาน นอกจากนี้ยังมีการกำหนดการกระทำของผู้มีหน้าที่ในกองทัพยาม เกิดศึกสงครามกำหนดกิจที่พึงกระทำ หรือพึงงดเว้นตามหลักพิชัยสงคราม การลง โทษกรณีฝ่าฝืน และการปูนบำเหน็จให้รางวัลกรณีทำความชอบ และอื่นๆ



กฎพระสงฆ์
          มีรวม ๑๐ ข้อใหญ่ เป็นการวางหลักปฏิบัติ  ข้อพึงปฏิบัติ ข้อห้าม การสอดส่องดูแล การกำกับตรวจสอบ เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายประพฤติตนได้สมกับสมณเพศตามพระธรรมวินัย และมี บทลงโทษกรณีต่างๆไว้ โดยมีการยกตัวอย่างคดีที่พระสงฆ์กระทำผิด หรือประพฤติ ไม่สมควรออกนอกลู่นอกทางไว้มากมายหลายกรณี  เช่น  การเสพเมถุนกับสีกา  พูดจา หรือทำกิริยาเกี้ยวพาราสีสีกา เสพสุรา เล่นการ พนัน อวดอุตริเป็นผู้วิเศษ



กฎ ๓๖ ข้อ พระราชบัญญัติพระราชกำหนดเก่า และพระราชกำหนดใหม่
          ประกอบด้วยกฎ ๓๖ ข้อ พระราชบัญญัติ ๒๒ ฉบับ  พระราชกำหนดเก่า ๖๕ ฉบับ เป็นกฎหมายในส่วน “พระราชนิติศาสตร์ หรือพระราชนิติคดี” ที่พระมหากษัตริย์ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ในด้านการปกครอง การบริหารราชการแผ่นดิน   การศาลยุติธรรม รวมทั้งแนวทางพระบรมราชวินิจฉัยคดีความต่างๆ ที่เกิดขึ้น  โดยยกตัวอย่างคดีและข้อเท็จจริงในคดีตามที่เกิดขึ้นจริง  ตลอดจนพระบรมราช วินิจฉัยที่เกี่ยวข้อง แล้ววางเป็นกฎไว้ใช้บังคับต่อไป

          หลักอินทภาษ  พระธรรมนูญ  พระอัยการกรมศักดิ์  พระอัยการลักษณะรับฟ้อง พระอัยการลักษณะพยานพิสูจน์ดำน้ำลุย เพลิง  พระอัยการลักษณะตุลาการ  พระอัยการลักษณะอุทธรณ์  พระอัยการลักษณะผัวเมีย พระอัยการทาส  พระอัยการลักษณะลักพาลูกเมียผู้คนท่าน  พระอัยการลักษณะมรดก  พระอัยการลักษณะกู้หนี้  พระอัยการเบ็ดเสร็จ (เบ็ดเตล็ด) พระอัยการลักษณะวิวาทตีด่ากัน  พระอัยการลักษณะโจร  พระอัยการอาชญาหลวงอาชญาราษฎร์  และพระอัยการกบฏ ศึก ล้วนแต่เป็นกฎหมายสาขาคดี ที่นำมูลคดีต่างๆ ตามคัมภีร์พระธรรมศาสตร์  มาบัญญัติเป็นบทมาตราต่างๆ  กฎหมายส่วนนี้จึง เป็น “พระราชศาสตร์”

          ส่วนกฎมนเทียรบาล  พระอัยการตำแหน่งนาพลเรือน  พระอัยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง กฎพระสงฆ์  กฎ  ๓๖ ข้อ  พระราชบัญญัติ  พระราชกำหนดเก่า  และพระราชกำหนดใหม่  เป็นบทบัญญัติที่มิได้นำมูลคดีตามคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ มาเป็นหลัก กฎหมายส่วนนี้จึงเป็น “พระราชนิติศาสตร์ หรือพระราชนิติคดี”



 
วรรณกรรมวรรณคดี.com © 2012 | Designed by GURU